วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Peace is Every Step By Thich Nhat Hanh

Peace is Every Step By Thich Nhat Hanh

Picture By Apiradee Udomsak

"Our smile affirms our awareness and determination to live in peace and joy. The source of a true smile is an awakened mind."



Thich Nhat Hanh, 
Peace Is Every Step, Part 2
The Dandelion Has My Smile

If a child smiles, if an adult smiles, that is very important. If in our daily lives we can smile, if we can be peaceful and happy, not only we, but everyone will profit from it. If we really know how to live, what better way to start the day than with a smile? Our smile affirms our awareness and determination to live in peace and joy. The source of a true smile is an awakened mind.

How can you remember to smile when you wake up? You might hang a reminder--such as a branch, a leaf, a painting, or some inspiring words--in your window or from the ceiling above your bed, so that you notice it when you wake up. Once you develop the practice of smiling, you may not need a reminder. You will smile as soon as you hear a bird singing or see the sunlight streaming through the window. Smiling helps you approach the day with gentleness and understanding.

When I see someone smile, I know immediately that he or she is dwelling in awareness. This half-smile, how many artists have labored to bring it to the lips of countless statues and paintings? I am sure the same smile must have been on the faces of the sculptors and painters as they worked. Can you imagine an angry painter giving birth to such a smile? Mona Lisa's smile is light, just a hint of a smile. Yet even a smile like that is enough to relax all the muscles in our face, to banish all worries and fatigue. A tiny bud of a smile on our lips nourishes awareness and calms us miraculously. It returns to us the peace we thought we had lost.

Our smile will bring happiness to us and to those around us. Even if we spend a lot of money on gifts for everyone in our family, nothing we buy could give them as much happiness as the gift of our awareness, our smile. And this precious gift costs nothing. At the end of a retreat in California, a friend wrote this poem:

I have lost my smile,
but don't worry.
The dandelion has it.

From : Peace Is Every Step The Path of Mindfulness in Every Life
Thich Nhat Hanh

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Thich Nhat Hanh Quotes 2

Thich Nhat Hanh

People have a hard time letting go of their suffering. Out of a fear of the unknown, they prefer suffering that is familiar.
-Thich Nhat Hanh-

The most precious gift we can offer others is our presence. When mindfulness embraces those we love, they will bloom like flowers.
-Thich Nhat Hanh-

Every day we do things, we are things that have to do with peace. If we are aware of our life..., our way of looking at things, we will know how to make peace right in the moment, we are alive.
-Thich Nhat Hanh-

Keeping your body healthy is an expression of gratitude to the whole cosmos - the trees, the clouds, everything.
-Thich Nhat Hanh-

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

"รอยยิ้มในลมหายใจ" Breathing Smiling


"รอยยิ้มในลมหายใจ" Breathing , Smiling
งานภาวนาสำหรับครอบครัวและบุคคลทั่วไป

วันที่ 20-24 ตุลาคม 2554 ณ วังรี รีสอร์ท จ.นครนายก

สังฆะหมู่บ้านพลัมประเทศไทย ขอเชิญกัลยาณมิตรผู้สนใจ ร่วมเบิกบานกับการภาวนาเจริญสติในชีวิตประจำวัน ตามแนวทางปฏิบัติแห่งหมู่บ้านพลัม ในงานภาวนาครอบครัว "รอยยิ้มในลมหายใจ" นำภาวนาโดยพระธรรมาจารย์จากสังฆะหมู่บ้านพลัมประเทศไทย ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ฮ่องกง และเวียดนาม ระหว่าง วันที่ 20-24 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ณ วังรี รีสอร์ท จ.นครนายก

งานภาวนาครั้งนี้จะเป็นช่วงเวลาอันงดงาม ที่เราจะได้ฝึกปฏิบัติร่วมกัน สัมผัสกับปัจจุบันขณะในแต่ละก้าวย่างให้เพื่อให้ความเบิกบานเกิดขึ้นในใจ เราจะเรียนรู้เพื่อฟังอย่างลึกซึ้ง พูดอย่างมีสติด้วยวาจาแห่งรัก การฝึกปฏิบัติเหล่านี้จะนำมาซึ่งความสุขศานติในความสัมพันธ์ เราจะร่วมกันมองสรรพสิ่งด้วยความเป็นจริงอย่างที่เป็น ซึ่งนั่นจะนำมาซึ่งความเข้าใจและความรักความเมตตาต่อตัวเราเอง ต่อครอบครัว และต่อโลกของเรา

ทางคณะผู้จัดขอแจกแจงรายละเอียดต่างๆของงานภาวนา พร้อมทั้งขอเชิญชวนผู้ที่สนใจทุกท่านร่วมสนับสนุน เกื้อกูลงานภาวนา ดังรายละเอียดต่อไปนี้



คลิ๊กที่รูปภาพเพื่อดูรายละเอียดกิจกรรม

"รอยยิ้มในลมหายใจ" Breathing , Smiling

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่

โทร. 02-885-5980, 085-128-8044, 089-044-8797
(จันทร์ - ศุกร์ 09.00-18.00 น.)

Tel.(Eng) 088-652-2788
(Mon-Fri 09.00-18.00)


สำหรับสื่อมวลชน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ : plum.pr@gmail.com





วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปฏิทินชีวิต ๘๐ ปีของท่าน พุทธทาสภิขุ


ปฏิทินชีวิต ๘๐ ปีของท่าน พุทธทาสภิขุ
(๒๔๔๙-๒๕๒๙)

๒๔๔๙
เด็กชายเงื่อม หรือพุทธทาสภิกขุในเวลาต่อมา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ตรงกับวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย บุตร นายเซี้ยงและนางเคลื่อน พานิช ที่หมู่บ้านกลาง ตำบลพุมเรียง ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นที่ตั้งของจังหวัดไชยา

๒๔๕๑
เด็กชายยี่เกย หรือ ธรรมทาส พานิช ผู้น้องชาย เกิดเมื่อ วันที่ ๑๓ สิงหาคม

๒๔๕๒
ย้ายที่ตั้งตัวจังหวัดไปอยู่บ้านดอน

๒๔๕๗
เมื่ออายุ ๘ ขวบ บิดามารดาพาเด็กชายเงื่อมไปฝากเป็นเด็กวัดที่วัดพุมเรียง เป็นเวลา ๓ ปี เพื่อรับการศึกษาเบื้องต้นตามแบบโบราณ

๒๔๖๐
เด็กชายเงื่อมกลับมาอยู่บ้าน เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดโพธาราม และเล่าเรียนที่นี่จนถึงชั้นมัธยม

๒๔๖๔
ย้ายมาเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๒ ที่โรงเรียนสารภีอุทิศ ตำบลตลาด เพื่อจะได้อยู่กับบิดา ซึ่งมาเปิดร้านค้าอีกแห่งหนึ่งที่ตำบลนี้

๒๔๖๕
บิดาถึงแก่กรรมด้วยโรคลมปัจจุบัน เด็กหนุ่มเงื่อมออกจากโรงเรียนมาช่วยดำเนินการค้ากับมารดา

ระหว่างนี้ นายยี่เกย น้องชาย บวชเป็นสามเณรและเรียนชั้นมัธยมอยู่ที่โรงเรียนประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี

๒๔๖๘
เปิดโรงเรียนนักธรรมขึ้นปีแรกในตำบลพุมเรียง

๒๔๖๙
ต้นปีนายยี่เกยเข้าเตรียมแพทย์จุฬา
ก่อนเข้าพรรษานายเงื่อมบวชเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ได้ฉายา "อินฺทปญฺโ??" จำพรรษาที่วัดพุมเรียง
ปลายปีสอบได้นักธรรมตรี ไม่ลาสิกขาตามกำหนด
ปิดเทอมปลายปี นายยี่เกยกลับบ้านและไม่ไปเรียนต่อ เพื่อเปิดโอกาสให้พระเงื่อมได้บวชเรียนต่อไป

๒๔๗๐
พระเงื่อมสอบได้นักธรรมโท

๒๔๗๑
ต้นปีพระเงื่อมเข้าเรียนต่อกรุงเทพฯ ครั้งแรกที่วัดปทุมคงคา อยู่ได้เพียง ๒ เดือน ก็เดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดพุมเรียง
ปีนั้นสอบได้นักธรรมเอก

๒๔๗๒
เป็นครูสอนนักธรรม โรงเรียนนักธรรม วัดพระบรมธาตุไชยา
นายยี่เกยตั้งคณะธรรมทานขั้นต้นขึ้น โดยเปิดหีบหนังสือธรรมะให้คนยืมอ่านที่ร้านไชยาพานิช
เริ่มรับหนังสือวารสารพุทธศาสนาภาษาอังกฤษจากต่างประเทศ
นายยี่เกยเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ในกรุงเทพฯ ใช้นามปากกาว่า "ธรรมทาส"

๒๔๗๓
พระเงื่อมขึ้นกรุงเทพฯ มาอยู่วัดปทุมคงคาอีกครั้งหนึ่งเพื่อเรียนบาลีต่อ
เขียนบทความชิ้นแรกชื่อ "ประโยชน์แห่งทาน" เพื่อพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระอุปัชฌาย์ มีเนื้อความตอบคำถามของคนสมัยใหม่ที่เริ่มสงสัยคุณค่าของการทำทานแบบที่ทำ ๆ กันอยู่
ปลายปีเขียนบทความขนาดยาวเรื่อง "พระพุทธศาสนาขั้นบุถุชน" อธิบายคุณค่าของพระพุทธศาสนาด้วยภาษาสมัยปัจจุบัน และเริ่มแสดงความคิดเห็นว่า มรรค ผล นิพพาน เป็นเรื่องที่เป็นไปได้จริงในสมัยปัจจุบัน บทความนี้พิมพ์เป็นหนังสือแจก งานฉลองโรงเรียนนักธรรมวัดพระบรมธาตุไชยา
ปลายปีนั้นสอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค เป็นพระมหาเงื่อม อินฺทปญฺโญ??

๒๔๗๔
เบื่อเรียนมากขึ้น ค้นคว้าศึกษานอกตำราเรียนออกไป ความคิดอุดมคติเริ่มตั้งมั่น

ปลายปีสอบเปรียญธรรมประโยค ๔ ตก เตรียมเดินทางกลับบ้านเพื่อทำงานตามอุดมคติ

๒๔๗๕
เดินทางกลับถึงพุมเรียง (๖ เม.ย.)
เข้าอยู่ในวัดร้างตระพังจิก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสวนโมกข์ (๑๒ พ.ค.)
นางเคลื่อนทำพินัยกรรมมอบเงิน ๖,๓๗๘ บาท ตั้งเป็นทุนต้นตระกูลพานิช ใช้ดอกผลบำรุงสวนโมกข์และคณะธรรมทาน
คณะธรรมทานตั้งขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ (ก.ค.) เปิดบ้านหนังหนึ่งเป็น "ห้องธรรมทาน" มีทำบุญเลี้ยงพระและเทศน์ทุกวันพระและวัน ๘ ค่ำ
เริ่มเขียน "ตามรอยพระอรหันต์" ในเดือนสิงหาคม

๒๔๗๖
ออกหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา ราย ๓ เดือน
เริ่มเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์สภาพพระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ใช้นามปากกา "ธรรมโยช" "ชินวาทก์" ฯลฯ และเขียน "ทำไมไม่ไปกับพระโลกนาถ" ลงหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ฉบับวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๔๗๖

๒๔๗๗
คณะธรรมทานซื้อแท่นพิมพ์มาพิมพ์หนังสือเอง เขียน "คันถะธุระกับวิปัสสนาธุระเนื่องกันอย่างไร"
เริ่มแปล "พุทธประวัติจากพระโอษฐ์"
แปล "บาลีมหาสติปัฏฐานสูตร"
สด กูรมะโรหิต เขียนเรื่องมาจากปักกิ่ง ทั้งหมดนี้ลงพิมพ์ในพุทธสาสนา
ก่อนเข้าพรรษาเดินทางไปนครศรีธรรมราช ปาฐกถาเรื่อง "การส่งเสริมปฏิบัติธรรม" และ "หลักพุทธศาสนา" ให้แก่คณะของพระดุลยพากย์สุวมัณฑ์ ซึ่งเปิดสวนปันตาราม ตามแบบสวนโมกขพลาราม
ในพรรษาเข้ากรรมฐาน ๓ เดือนงดพูด จดบันทึกปฏิบัติธรรมเป็นรายวัน
เขียนบทความขนาดยาวเรื่อง "การปฏิบัติธรรม" (๑๗ ก.พ.)

๒๔๗๘
ทางราชการย้ายที่ว่าการอำเภอจากพุมเรียง ไปอยู่ที่ตำบลตลาด ริมทางรถไฟ
คณะธรรมทานและโรงพิมพ์ธรรมทานย้ายตามไปอยู่ที่ตำบลตลาดด้วย
เริ่มแปล "อริยสัจจากพระโอษฐ์" ลงพุทธสาสนา
เดินทางไปเทศน์ถิ่นไทยทางใต้สุด กลับมาเขียนเรื่อง "พระพุทธศาสนาในถิ่นไทยทางใต้"
เริ่มติดต่อกับสามเณรกรุณา กุศลาสัย (ต่อมาคืออาจารย์กรุณา กุศลาสัย) บรรพชิตไทยรูปเดียวที่เดินเท้าไปถึงอินเดียพร้อมกับพระโลกนาถ (พระภิกษุชาวอิตาเลียน)

๒๔๗๙
แปลและแต่งกาพย์สุกรยักษ์ อันเป็นคำวิจารณ์พระสงฆ์อย่างรุนแรง (จากบางตอนของสุมังคลวิลาสินี)
เขียน "คุณค่าของปริยัติ" ชี้ให้เห็นความสำคัญของการเชื่อมระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติในพุทธศาสนา
เขียน "สังคายนาแต้มหัวตะ" เรียกร้องให้แปลพระไตรปิฎกเป็นไทย และวิจารณ์การทำสังคายนาที่ผ่าน ๆ มา
ท่านปัญญานันทะ พระราชญาณกวี (บุญชวน) และสามเณรสำเริง มาร่วมจำพรรษาอยู่ด้วย
พิมพ์รวมเล่มพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ครั้งแรก
คณะธรรมทานเปิดโรงเรียนพุทธนิคม

๒๔๘๐
หัวหน้ากองตำรามหามกุฎราชวิทยาลัย ประกาศใช้พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ เป็นหนังสือประกอบแบบเรียน (๑๕ มิ.ย.)
แปล "ลังกาวตาลสูตร" จากพระสูตรฝ่ายมหายาน ลงพุทธสาสนา
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร) วัดเทพศิรินทร์ ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม และผู้บัญชาการคณะสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า เดินทางมาเยี่ยมสวนโมกข์และค้างคืน ๑ คืน (๒๖ มิ.ย.)
เขียน "บรรณวิจารณ์อภิธานัปปทีปนีกา" และ "ต้นบัญญัติสิกขาบท" ไว้อาลัยวาระสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (๑๖ ธ.ค.)

๒๔๘๑
เริ่มอบรมสามเณรชุดพิเศษ เพื่อสร้างนักเผยแผ่ที่ทันสมัย (งานที่ไม่ประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา)
เรียบเรียง "เกียรติคุณของพระพุทธเจ้า" หนังสือพุทธประวัติสำหรับคนหนุ่มสาว ลงวันที่ ๑๑ ม.ค.
เขียนบทความขนาดยาว "อนัตตาของพระพุทธเจ้า"
พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ (วงศ์ ลัดพลี) อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ พระยาภะรตราชสุพิช ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ และนายสัญญา ธรรมศักดิ์ มาเยี่ยมสวนโมกข์เป็นครั้งแรก

๒๔๘๒
นายยี่เกยเปลี่ยนชี่อเป็น "ธรรมทาส" อย่างเป็นทางการ
สร้างหอสมุดธรรมทาน ที่วัดชยาราม เป็นที่พักและที่ทำงานอีกแห่งหนึ่ง
มีบทความเกี่ยวกับกฤษณมูรติ ลงพุทธสาสนา
เขียนบทความขนาดยาว ๕๕ หน้า "ตอบปัญหาบาทหลวง" หักล้างความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าแบบบุคคลอย่างรุนแรง ลงพุทธสาสนา

๒๔๘๓
เกิดสงครามในยุโรป ทำให้กระดาษแพง หายาก พุทธสาสนา ๒ เล่ม ออกรวมเป็นเล่มเดียว
เริ่มมีบทความต่อต้านสงครามเรื่อง "ไฟไหม้โลกยุคกึ่งพุทธกาล" ลงพุทธสาสนา
แสดงปาฐกถาที่กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก ตามคำอาราธนาของพุทธธรรมสมาคม (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ.๒๔๘๔) ในหัวข้อเรื่อง "วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม" (๑๓ ก.ค. พูด ๒ ชั่วโมง ๑๕ นาที)

๒๔๘๔
ทางราชการเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ จาก ๑ เมษายน เป็น ๑ มกราคม
เริ่มแปล "ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์" ลงพุทธสาสนา
๒๔๘๕

เริ่มสร้างสโมสรธรรมทาน ที่วัดชยาราม
หนังสือพิมพ์พุทธสาสนาเริ่มลงเรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนา ฝ่ายมหายาน
แสดงปาฐกถาธรรมที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยเรื่อง "ความสงบในฐานะเป็นผลแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม"

๒๔๘๖
วางเงินซื้อที่บริเวณธารน้ำไหลจากหลวงพรหมปัญญา เมื่อ ๑๘ มีนาคม
หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์เป็นผู้เชื่อมให้ได้เฝ้าสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่วังวรดิศ เพื่อปรึกษาหารือเรื่องโบราณคดีเมืองไชยา
เทศน์งานพระราชทานเพลิงศพของสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) เรื่อง "ลักษณะน่าอัศจรรย์บางประการของนิพพาน" (๒๒ ส.ค.)
เขียนความเรียบเรียงเชิงประวัติ เกี่ยวกับชีวิตและงานในสวนโมกข์ที่ผ่านมาชื่อ "สิบปีในสวนโมกข์"

๒๔๘๙
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าฝ่ายองค์การเผยแผ่ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี (๒๒ ม.ค.)
ย้ายมาจำพรรษาที่สวนโมกข์แห่งใหม่ บริเวณธารน้ำไหล เขาพุทธทอง (สวนโมกข์ปัจจุบัน)
คณะพระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์มาเยี่ยมครั้งที่ ๒

๒๔๘๙
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูอินทปัญญาจารย์
ปาฐกถาธรรมที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย เรื่อง "พุทธธรรมกับสันติภาพ" (๒ มี.ค.)
เลิกสวนโมกข์แห่งเดิมที่พุมเรียงโดยสิ้นเชิง (ก่อนหน้านี้ยังมีพระอยู่ประจำ)
ปาฐกถาธรรมที่สมาคมพุทธบริษัทไทยจีนประชา เรื่อง "ข้อควรทราบเกี่ยวกับหลักพุทธศาสนาระหว่างนิกายต่าง ๆ" (๒๙ ธ.ค.)

๒๔๙๐
ปาฐกถาที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย เรื่อง "พุทธธรรมกับเจตนารมณ์แห่งประชาธิปไตย" ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในขณะนั้นเข้าฟังด้วย (๑๑ พ.ย.)
เกิดคณะพุทธนิคมที่เชียงใหม่
ปาฐกถาที่หอประชุมใหญ่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง "พระพุทธศาสนาจะช่วยพวกเราในปัจจุบันนี้ได้อย่างไร" (๓๑ พ.ค.)
เริ่มแปล "สูตรของเว่ยหล่าง" ลงพุทธสาสนา

๒๔๙๑
โยมมารดาถึงแก่กรรม (๒๔ เม.ย.)
เดินทางขึ้นเชียงใหม่ครั้งแรกเพื่อช่วยให้คำแนะนำแก่กิจการของคณะพุทธนิคมเชียงใหม่ (ก่อนเข้าพรรษา)
ออกตระเวณเทศน์ตามเกาะสมุย เกาะพงัน
ปาฐกถาธรรมที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย เรื่อง "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" (๕ มิ.ย.) และเริ่มถูกโจมตีในข้อหาเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์
ออกพรรษา ท่านปัญญานันทะขึ้นไปประจำอยู่ที่เชียงใหม่

๒๔๙๒
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าองค์การเผยแผ่ประจำภาค ๕ (ภาคใต้ ๑๔ จังหวัด)
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุไชยา (๓๐ มิ.ย.)

๒๔๙๓
พักสวนชาใกล้หมู่บ้านแก่งปันเต้า อ.เชียวดาว จ.เชียงใหม่ เป็นเวลา ๒๐ วัน เพื่อเขียน "โบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน" (ม.ค.)
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ สาขาประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี
เขียนบทความทดลอง เสนอเกี่ยวกับจิตวิทยาแบบพุทธ เรื่อง "ปมเขื่อง"
ตระเวณเทศน์หัวเมืองปักษ์ใต้ กับพระยาอมรฤทธิธำรง (พร้อม ณ ถลาง)
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานพิธีสวดกระทำน้ำมุรธาภิเษกสำหรับพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ณ วัดพระบรมธาตุไชยา ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระอริยนันทมุนี (๔ ธ.ค.)

๒๔๙๔
อบรมข้าราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมและศาล ที่กรุงเทพฯ เรื่อง "ทุกขขัปนูทนกถา" (๒๐ ก.ย.)
มีประกาศในพุทธสาสนาว่าพระยาอนุมานราชธน ส่งหนังสือมาให้ห้องสมุดธรรมทานหลายเล่ม

๒๔๙๕
นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ มาเยี่ยมสวนโมกข์ (ก.พ.)
คณะพุทธนิคม เชียงใหม่ ออกหนังสือพิมพ์ชาวพุทธ เมื่อวันวิสาขบูชา
มีพิธีทอดกฐินครั้งแรกและครั้งเดียวของสวนโมกข์
เขียน "บันทึกเปิดผนึกครบรอบ ๒๐ ปี" ลงในพุทธสาสนา ซึ่งออกรวมเป็นเพียงฉบับเดียวในปีนั้น
เริ่มมีการบรรยายประจำคืนในช่วงพรรษา เพื่ออบรมพระภิกษุสามเณรภายในสวนโมกข์

๒๔๙๖
แสดงธรรมเรื่อง "ศาสนาคือโรงพยาบาลของโลก" ที่โรงพยาบาลสงฆ์ ในโอกาสเปิดตึกสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (๒๑ ก.พ.)
คณะธรรมทานได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็น "ธรรมทานมูลนิธิ" (๒๔ พ.ย.)
มีผู้บริจาคแท่นพิมพ์และเครื่องตัดกระดาาให้ใหม่
มีการฉายสไลด์ในสวนโมกข์ ริเริ่มการเผยแผ่ธรรมโดยการฉายสไลด์

๒๔๙๗
อธิษฐานไม่ออกนอกเขตตลอดพรรษา
พิมพ์หนังสือทำวัตรสวดมนต์แปลครั้งแรก
ร่วมประชุมและกล่าวปราศรัยในนามตัวแทนคณะสงฆ์ไทย ในงานฉัฏฐสังคายนาที่ประเทศพม่า เรื่อง "ลักษณะน่าอัศจรรย์บางประการของพุทธศาสนาแบบเถรวาท" (๖ ธ.ค.)
เขียน "โลกอาจรอดได้ แม้เพราะกตัญญู" (๘ มี.ค.) เป็นบทความที่เด่นบทหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงโลกทัศน์แบบพุทธที่มีลักษณะนิเวศวิทยาอยู่ในตัว

๒๔๙๘
อบรมข้าราชการตุลาการครั้งแรก เรื่อง "ใจความสำคัญของพุทธศาสนา" ณ ห้องบรรยายเนติบัณฑิตยสภา ต่อมาพิมพ์เป็นเล่มชื่อหลักพระพุทธศาสนา และพิมพ์ในชุดธรรมโฆษณ์ ชื่อ "ตุลาการิกธรรม เล่ม ๑" การบรรยายชุดนี้ทำต่อเนื่องมาอีกรวม ๑๔ ครั้ง

๒๕๐๐
แสดงธรรมที่โรงพยาบาลสงฆ์ เรื่อง "ธรรมะคือโอสถสำหรับโลก" (ก.พ.)
เทศน์ในโอกาส ๒๕ พุทธศตวรรษ เรื่อง "หนทางดับความเลวร้ายในยุคปัจจุบัน" ที่วัดพระบรมธาตุไชยา
คณะพุทธนิคมเชียงใหม่ตั้งชาวพุทธมูลนิธิ
ในพรรษาบรรยาย "การศึกษาธรรมะอย่างถูกวิธี" หรือ "ธรรมวิภาคนวกภูมิ" ต่อมากลายเป็นหนังสือพื้นฐานที่สำคัญอีกเล่มหนึ่งของสวนโมกข์
ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชชัยกวี

๒๕๐๑
ตั้งสำนักปฏิบัติธรรม "สวนอุศม" และ "สวนอุศมมูลนิธิ" ที่กรุงเทพฯ เป็นอีกองค์กรหนึ่งในเครือข่ายของสวนโมกข์
ทางราชการประกาศให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางศาสนา สอดคล้องกับที่สวนโมกข์ทำมาก่อน
ไปเขมร ชม นครวัด นครธม

๒๕๐๒
กรมศิลปากรส่งศิลาจารึกจำลองทุกหลักที่ทำจากไชยามาถวาย
ท่านปัญญานันทะลงมาจำพรรษาที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์
เจ้าชื่น สิโรรส หัวหน้าคณะพุทธนิคมและบุตรลงมาอยู่ที่สวนโมกข์ในระหว่างช่วงเข้าพรรษา
สถานีวิทยุ ปชส.๗ ธนบุรี นำ "หลักพระพุทธศาสนา" ที่อบรมข้าราชการตุลาการครั้งแรก ไปอ่านออกอากาศเป็นประจำทุกวัน เวลา ๐๖.๓๐ น. ในระหว่างช่วงเข้าพรรษา
พิมพ์อริยสัจจากพระโอษฐ์ ครั้งแรก
บรรยาย "อานาปานสติ" (ฉบับสมบูรณ์) ในระหว่างพรรษาในสวนโมกข์

๒๕๐๓
โรงเรียนพุทธนิคมเปิดชั้นเตรียมอุดมศึกษา
แสดงธรรมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง "ส่วนสำคัญของพระพุทธศาสนาที่ทุกคนควรรู้จัก" ตามคำอาราธนาของสมเด็จพระราชชนนี องค์อุปถัมภกของชมรมกลุ่มศึกษาพุทธศาสตร์และประเพณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีผู้ฟังประมาณ ๓,๐๐๐ คน (๒๘ ธ.ค.)

๒๕๐๔
ในพรรษาพูดเรื่อง "ตัวกู-ของกู" อบรมพระสงฆ์สามเณร
ร่วมสัมมนาเรื่อง "การศึกษาพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัย" ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (๒๖ พ.ย. - ๒๒ ธ.ค.) และแสดงธรรมอบรมนิสิต รวม ๗ ครั้ง

๒๕๐๕
เริ่มสร้างโรงมหรสพทางวิญญาณ (โรงหนังแบบสวนโมกข์) และมีโรงปั้นเพื่อปั้นภาพพุทธประวัติยุคแรกของโลก ทั้ง ๒ อย่างนี้ใช้เวลาราว ๑๐ ปี จึงเสร็จ

๒๕๐๖
อภิปรายแบบธรรมสากัจฉา กับหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ครั้งแรก ในหัวข้อ "การทำงานคือการปฎิบัติธรรม" มีนายปุ๋ย โรจนบุรานนท์ และ นายฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ ร่วมด้วย ที่หอประชุมคุรุสภา (๖ ธ.ค.)
๒๕๐๗

อภิปรายแบบธรรมสากัจฉา (ที่กลายเป็นวิวาทะ) กับหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ครั้งที่ ๒ และครั้งสุดท้าย ที่หอประชุมคุรุสภา เรื่อง "การทำงานด้วยจิตว่าง" (๑๓ ก.พ.)

๒๕๐๘
ปาฐกถาธรรมเรื่อง "สิ่งที่เรายังเข้าใจผิดกันอยู่" ที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ (๒๑ ม.ค.)
ปาฐกถาธรรมเรื่อง "การส่งเสริมจริยธรรมแก่เด็กวัยรุ่น" ในที่ประชุมสามัญประจำปี ที่คุรุสภา (๒๗ เม.ย.)

๒๕๐๙
เริ่มมีงานล้ออายุ ครั้งแรก (๒๗ พ.ค.)
ปาฐกถาธรรมเรื่อง "สิ่งที่เรายังสนใจกันน้อยเกินไป" ในที่ประชุมองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ณ พุทธสถานเชียงใหม่ (๘ พ.ย.)
ปาฐกถาธรรมเรื่อง "ผีหัวเราะเยาะมนุษย์" แก่ผู้ร่วมประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศครั้งที่ ๑๐ ยอดเขาพุทธทอง สวนโมกข์ (๑๔ พ.ย.)

๒๕๑๐
เป็นประธานในการอบรมพระธรรมทูตรุ่นแรกที่จะไปเผยแผ่พระศาสนาในต่างประเทศ
ปาฐกถา "คริสตธรรม-พุทธธรรม" ณ วิทยาลัยพระคริสตธรรม เชียงใหม่
ในพรรษา เริ่มบรรยายชุด "ธรรมปาฏิโมกข์" แก่พระสงฆ์สามเณรภายในสวนโมกข์ (กระทำต่อเนื่องทุกพรรษาถึง พ.ศ. ๒๕๑๔)

๒๕๑๑
เป็นประธานในการประชุมสมาคมพุทธศาสนาทั่วประเทศ ครั้งที่ ๑๖ ณ ค่ายลูกเสือธรรมบุตร ติดกับสวนโมกข์ (๑ ธ.ค.)
พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ "สหายธรรมหมายเลขหนึ่ง" ถึงแก่อนิจกรรม (๑๙ เม.ย.) มอบทุน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้ธรรมทานมูลนิธิ
เริ่มโครงการพิมพ์หนังสือชุดธรรมโฆษณ์

๒๕๑๒
บรรยายชุด "บรมธรรม" แก่ พระนิสิตภาคฤดูร้อน

๒๕๑๔
เริ่มบรรยายธรรมประจำวันเสาร์และทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น "พระเทพวิสุทธิเมธี" (๕ ธ.ค.)
เขียน "บันทึกคำชี้แจงเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท" (๓๐ ก.ย.)

๒๕๑๕
บรรยายชุด "แก่นพุทธศาสน์" ที่โรงพยาบาลศิริราช
บรรยายชุด "สอนพุทธศาสนาผ่านคัมภีร์ไบเบิล" ในสวนโมกข์
๒๕๑๖

บรรยายเรื่อง "มหาวิทยาลัยกับความรู้เรื่องจิต" แก่อาจารย์คณะแพทย์ศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมหิดล ที่มาสวนโมกข์ (๓๐ ส.ค.)
เขียนบทความขนาดยาว "สมเด็จในความรู้สึกของข้าพเจ้า" ตามคำขอของพระดุลยพากย์สุวมัณฑ์ เพื่อพิมพ์ในหนังสือครบรอบ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)
บรรยายเรื่อง "ประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม" ในสวนโมกข์ (๑๑ พ.ย.)
อาพาธ ขณะกำลังเทศน์และเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช (ธ.ค.)

๒๕๑๗
บรรยายเรื่อง "มหิดลธรรม" แก่พระนักศึกษาภาคฤดูร้อน
บรรยายเรื่อง "สังคมนิยมตามหลักแห่งพระศาสนา" (๑๕ ก.ย.)

๒๕๑๘
บรรยายชุด "โมกขธรรมประยุกต์" สำหรับพระนักศึกษาภาคฤดูร้อน
บรรยายเรื่อง "พระพุทธเจ้ามีอุดมคติเป็นสังคมนิยม"
บรรยายเรื่อง "สังคมนิยมชนิดที่ช่วยโลกได้" (๒๗ พ.ค. ๑๘)

๒๕๒๑
เริ่มปาฐกถาธรรมทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ทุกวันอาทิตย์ที่ ๓ ของเดือน

๒๕๒๒
บรรยายชุด "ใจความแห่งคริสตธรรม เท่าที่พุทธบริษัทควรทราบ"
ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาพุทธศาสตร์ จากมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย

๒๕๒๕
สวนโมกข์อายุครบ ๕๐ ปี พิมพ์แถลงการณ์ ๕๐ ปี สวนโมกข์
พิมพ์กฎบัตรของพุทธบริษัท ในวันวิสาขบูชา

๒๕๒๗
พิมพ์อริยสัจจากพระโอษฐ์ ฉบับสมบูรณ์

๒๕๒๘
อาพาธค่อนข้างหนักตั้งแต่ต้นปี

๒๕๒๙
ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาอักษรศาสตร์ (ศาสนาและปรัชญา) จากมหาวิทยาลัยศิลปากร
ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาศึกษาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง

จาก อัตชีวประวัติของท่านพุทธทาส "เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา"
หน้า ๖๙๓–๗๐๘

ย้อนกลับ

ธรรมะ 9 ตา โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

ท่านพุทธทาสภิกขุ


ธรรมะ 9 ตา โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

ท่านพุทธทาสเป็นคนช่างคิดช่างประดิษฐ์ ทั้งประดิษฐ์คำและประดิษฐ์ธรรม ประดิษฐ์คำ คำที่ท่านใช้เวลาอธิบายปีละคำนั้นเรียกว่า "ธรรมะ 9 ตา" มีดังนี้

1. อนิจจตา คือความไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ความเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏภายนอก (อัชฌัตตา ธัมมา)

2. ทุกขตา คู่กับอนิจจตา คือทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ย่อมแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นเสมอ เป็นความไม่สมบูรณ์บกพร่องอันเป็นเนื้อใน (พหิทธา ธัมมาป โดยอธิบายว่า ความบกพร่องความไม่สมบูรณ์ในตัวนั้นแหละ คือทุกขตา เมื่อบกพร่องไม่สมบูรณ์มันก็ย่อมเปลี่ยนในที่สุด (อนิจจตา)

3. อนัตตตา คือ ความไม่มีตัวตน ความมิใช่ตัวตน อนัตตตา มีสองความหมายคือ 

(1) ความไม่มีตัวตนถาวร (อาตมันถาวร) ดังที่ลัทธิฮินดูเชื่อกัน ว่าอาตมันเป็นสิ่งสัมบูรณ์ในตัวเอง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อยู่เป็นนิรันดร ส่วนที่เปลี่ยนคือร่างกาย ทฤษฎีตายแล้วไปเกิดใหม่เปรียบเสมือนคนที่ออกจากบ้านเก่าที่ถูกไฟไหม้ไปหาที่อยู่ใหม่ บ้านเป็นบ้านใหม่แต่คนยังคงเป็นคนเดิม ดังที่กฤษณะได้สอนอรชุนผู้ไม่อยากรบกับญาติพี่น้องของตนเพราะเกรงจะมีการฆ่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นบาป กฤษณะสอนว่า "ไม่มีผู้ฆ่าไม่มีผู้ถูกฆ่า" ดุจเอามีดฟันหยวกกล้วย เพราะอาตมันไม่มีใครฆ่าได้ พระพุทธศาสนาปฏิเสธแนวคิดอาตมันถาวรนี้ จึงเรียกว่าอนัตตตา 

(2) ความมิใช่ตัวตน ในความหมายนี้ทรงแสดงไว้ในอนัตตลักขณสูตร ว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันประกอบเข้าเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขานี้ มิใช่ตัวตนของใคร มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปตามธรรมดาของสังขาร เพราะถ้ามันเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง เราสามารถบังคับหรือขอร้องให้มันเป็นอย่างนั้น อย่าไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ แต่นี่หาเป็นเช่นนั้นไม่ จึงเชื่อว่า เป็นอนัตตตา

4. อิทัปปัจจยตา เป็นชื่อหนึ่งปฏิจจสมุปบาท หลักแห่งการเกิดขึ้นอาศัยกันของปัจจัยทั้งหลาย เมื่อเกิดสิ่งนั้น จึงมีสิ่งนี้ (Dependent Origination)

5. สุญญตา คือ ความว่างเปล่า ความศูนย์ คือสูญจากความมีตัวตน เวลาพระท่านพิจารณาสังขารโดยความเป็นสภาพศูนย์ หมายถึงพิจารณาเห็นความเป็นจริงว่า สิ่งที่เรียกว่าตัวตนเราเขา นั้นที่แท้ไม่มี มีเพียงการประกอบเข้าแห่งธาตุสี่ดินน้ำลมไฟเท่านั้นเอง เมื่อเห็นว่าว่างอย่างนี้แล้ว ท่านก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ดังที่หลวงพ่อพุทธทาสกล่าวว่าว่างจากตัวกูของกู 

6. ธัมมัฏฐิตตา และ

7. ธัมมนิยามตา  คือ การที่สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับสลายไปเป็นกฎธรรมชาติหรือภาวะที่ยืนตัวเป็นหลักแน่นอนอยู่โดยธรรมดา เป็นกฎธรรมดาหรือกำหนดแห่งธรรมดา ไม่ขึ้นอยู่กับผู้สร้างผู้บันดาล ไม่ขึ้นอยู่กับการเกิดขึ้นของศาสดาหรือศาสนาใดๆ

ดังพุทธวจนะว่า "ไม่ว่าตถคตทั้งหลาย (พระพุทธเจ้าทั้งหลาย) จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม กฎธรรมชาติ กฎธรรมดานั้นก็ยังอยู่" 

8. ตถตา ความเป็นเช่นนั้นเอง ตถตา เป็นการอธิบายความที่สิ่งทั้งหลายเป็นเหตุปัจจัยแห่งกันและกัน เมื่อมีเหตุปัจจัยมันก็เกิดขึ้นดำรงอยู่และเป็นไปตามกฎธรรมดา เมื่อหมดเหตุปัจจัยมันก็ดับ การที่มันจะเกิด จะคงอยู่หรือจะดับไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดลบันดาลของใคร ไม่ขึ้นอยู่กับการขอร้องอ้อนวอน หรือความต้องการของใคร เมื่อเหตุปัจจัยมันสุกงอมแล้ว ไม่อยากไปก็จำต้องไป เพราะทุกอย่างเป็นตถตา

9. อตัมมยตา เป็นสภาวของระดับจิตสุดท้ายสูงสุด กล่าวคือ เป็นระดับที่ไม่ยึดถือหรือยึดติดต่อสิ่งทั้งปวง เพราะทุกสิ่งเป็นผ่านพ้นความเป็นธรรมดา และเป็นเช่นนั้นเองแล้ว สภาวจิตที่เข้าถึงระดับนี้ คือ ระดับจิตของบุคคลที่ปฏิบัติโดยไม่ยึดติดต่อสิ่งใดใด เพราะเข้าใจด้วยหลักเหตุ และผลที่เกิดขึ้นของสิ่งทั้งปวง

สำหรับ การปฏิบัติ อตัมยตา คือการเก็บรายละเอียดปลีกย่อยที่จิตเข้าไปยึดถือไว้มาตั้งแต่เกิด จนสามารถปฏิบัติให้จิตสามารถหลุดพ้นได้อย่างสิ้นเชิง


ที่มา : http://www.thammaonline.com/

มงคลคาถาหรือพรสำหรับปีใหม่ปีนี้ จากหลวงปู่ ติช นัท ฮันห์


be there for each other,
อยู่ตรงนั้นเพื่อกันและกัน

  
listen to each other
รับฟังซึ่งกันและกัน 


มงคลคาถาหรือพรสำหรับปีใหม่ปีนี้
จากหลวงปู่ ติช นัท ฮันห์




be there for each other, อยู่ตรงนั้นเพื่อกันและกัน


listen to each other รับฟังซึ่งกันและกัน

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อุบายรอดตาย

การพ้นความตายที่ดีที่สุด ก็คือตายเสียก่อนตาย

อุบายรอดตาย

      บทเรียนสำคัญประการหนึ่ง จากการผจญภัยในป่าดิบ ซึ่งเป็นข้อเตือนใจมาตลอดชีวิต ของพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร แห่งวัดอโศการาม ก็คือ " คนที่จะพ้นตาย ต้องทำตนเหมือนคนตาย"

      ข้อสรุปนี้ท่านได้จากชายแก่คนหนึ่ง ซึ่งรอดชีวิตจากเงื้อมมือของหมีใหญ่ตัวหนึ่ง อย่างหวุดหวิด

      ชายผู้นั้นเล่าว่า เจอหมีตัวนั้นแบบประชิดตัว ขณะที่กำลังหาน้ำมันยางในป่าใหญ่ แกหนีไม่ทันจึงเกิดการต่อสู้กันพัลวันสักพักก็ได้สติ รู้ว่าสู้ไม่ได้แน่ จึงแกล้งล้มนอนแผ่กลางดิน ตัวไม่ไหวติง เหมือนกับตายแล้ว หมีเห็นดังนั้นจึงขึ้นคร่อมตัวแกไว้แล้วหยุดตะปบแก

      ระหว่างที่หมีดึงขาและหัวอยู่นั้น ชายแก่ก็ทำตัวอ่อนไปอ่อนมา จนหมีคิดว่าแกตายแน่แล้ว ก็เดินจากไป บาดแผลที่ได้รับคือหัวถลอกปอกเปิกเท่านั้น ชายแก่บอกหลวงพ่อลีว่า "สัตว์ป่าเป็นอย่างนี้ ถ้าเราเห็นจะสู้ไม่ไหว ต้องทำตัวเหมือนคนตาย"

       ตอนที่ชายแก่ผู้นี้พูดถึงการทำตนเหมือนคนตาย แกนึกถึงอุบายเอาตัวรอดในป่า โดยเฉพาะเวลาเจอสัตว์ร้ายเท่านั้น แต่ถ้ามองให้ลึกแล้ว นี่เป็นวิธีการที่ใช้รับมือกับภยันตรายต่าง ๆ ได้ร้อยแปด แม้กระทั่งเวลาอยู่ในป่าคอนกรีต
 
      ในแง่หนึ่ง การทำตนเหมือนคนตาย คือการทำ 'กาย' ให้แน่นิ่งราวกับตาย แต่ลึกไปกว่านั้น มันยังหมายถึงการทำ 'ใจ' ให้นิ่งเหมือนกับคนตาย หรือนึกไปว่าตนเองได้ตายไปแล้ว เวลาเจอเรื่องวิกฤติหรือประสบเหตุคับขัน การทำใจเช่นนี้จะช่วยให้ไม่พะวงหรืออาลัยในชีวิต ทำให้มีสติคิดอ่านแก้ปัญหาได้อย่างสุขุมรอบคอบ ไม่ตื่นตกใจ

       ความตื่นตกใจเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดก็ว่าได้ เวลาจะเอาตัวรอดในยามคับขัน ไม่ว่าเกิดเหตุไฟไหม้ รถตกคู หรือถูกปล้นจี้ ที่เราตื่นตกใจก็เพราะกลัวตาย แต่หากทำใจว่าได้ตายไปแล้ว หรือพร้อมรับความตาย ใจจะนิ่ง สติจะกลับมา และพร้อมที่จะดึงปัญญามาใช้งานอย่างทันท่วงที โดยไม่ร้อนรนหรือเร่งรีบ

       อย่าว่าแต่เรื่องเสียวไส้เลย แม้แต่ความเจ็บป่วยที่อาจถึงแก่ชีวิต การทำใจให้นิ่งก็ช่วยได้มาก โรคร้ายไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวตาย แต่ถ้าเราพร้อมที่จะตาย หรือนึกว่าตายไปแล้วปล่อยวางทุกสิ่งเหมือนคนตาย ไม่ว่าชีวิต ลูกหลาน หรือทรัพย์สินเงินทอง ความทุรนทุรายก็จะลดลงไปมาก การต่อสู้กับหมีใหญ่เป็นอันตรายต่อชายแก่ในเรื่องที่เล่ามาฉันใด การต่อสู้ขัดขืนความตายในยามนี้ก็เป็นโทษฉันนั้น สู้ทำใจสงบนิ่ง พร้อมเผชิญกับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นมิดีกว่าหรือ บ่อยครั้ง ความตายนั้นเองกลับเป็นฝ่ายจากไป ผู้ป่วยมะเร็งหลายคนรอดชีวิต ไม่ใช่เพราะได้ยาดี แต่เพราะสามารถทำใจให้สงบได้ต่างหาก

      อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงคราวที่จะต้องตาย ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องทุกข์เพราะความตายเสมอไป ถ้าเรารู้จักทำใจให้นิ่งพร้อมรับความตาย ปล่อยวางทุกสิ่ง ความตายจะทำอะไรเราได้ จะเรียกว่านี่เป็นวิธีพ้นความตายหรือชนะความตายอีกแบบหนึ่งก็ได้ เพราะความตายไม่สามารถทำให้เราทุกข์ทรมานได้

       แต่การพ้นความตายที่ดีที่สุดก็คือ ตายก่อนตาย อย่างที่ท่านพุทธทาสภิกขุได้สอนไว้ นั่นคือตายจากกิเลส จากการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน การตายแบบนี้ เป็นการทำให้ตัวตน หรือตัวกูของกู ตายไปอย่างสิ้นเชิง จึงเหมือนคนตายยิ่งกว่าอะไรดี ด้วยการตายจากตัวตนนี้แหละ ที่เราจะพ้นความตายอย่างแท้จริง เพราะไม่ต้องตายอีกต่อไป และที่ไม่ตายก็เพราะไม่เกิด (เป็นตัวกูของกู) พูดง่าย ๆ ก็คือพ้นจากการเกิดและตาย
 
      การทำตนเหมือนคนตาย จึงเป็นกุศโลบายที่มีประโยชน์สารพัด ใช้ได้กับคนทุกระดับและในทุกสถานการณ์ ลองนึกและฝึกอยู่เสมอ ชีวิตจะโปร่งเบาและสุขสบายขึ้นมาก

โดย รินใจ สมาคมคนน่ารัก


วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หาสุขได้..จากทุกข์ ปาฐกถาธรรมโดยท่านพุทธทาส


ธรรมะของท่านพุทธทาส 
หาสุขได้..จากทุกข์ 
โดย พุทธทาสภิกขุ 
(พระธรรมเทศนา ประจำคืนในพรรษา ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๑๔)
หาความสุขได้.. จากสิ่งที่เป็นทุกข์

     สำหรับในวันนี้ จะได้แสดงด้วยข้อธรรมะข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นพระพุทธภาษิตว่า ผู้มีปัญญาย่อมแสวงหาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นทุกข์ ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงตั้งจิตอธิษฐาน ในการที่ว่าจะประพฤติปฏิบัติ ให้ตลอดพรรษานี้โดยหัวข้อที่ว่า จะแสวงหาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นทุกข์

      ท่านทั้งหลายจงฟังดูให้ดี ถ้าฟังดูไม่ดี ก็จะไม่เห็นด้วย ในข้อที่ว่า เราจะแสวงหาความสุข จากสิ่งที่เป็นทุกข์ คนโง่ก็เห็นว่า เมื่อเป็นทุกข์เสียแล้ว ก็ไม่มีทางแก้ไข หรือความสุขกับความทุกข์นี้ จะเอามาใช้แทนกันไม่ได้ แต่ผู้มีปัญญาหาเป็นอย่างนั้นไม่ สามารถแสวงหาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นทุกข์

      นี้มันก็เป็นหนทางที่ดี หรือดีมากทีเดียว เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่จะช่วยให้มีความทุกข์น้อยเข้า หรือถึงกับไม่มีความทุกข์เลย แต่ถ้าฟังไม่ถูก มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร และคงจะคิดเสียว่า มันเป็นสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้ เพราะว่าคนโง่ทั้งหลาย ย่อมหวังในสิ่งที่หวังไม่ได้ หรือ ไม่ควรหวัง

      ยกตัวอย่างเช่นว่า คราวหนึ่งได้พูด ได้เทศน์ ได้พิมพ์โฆษณา เรื่องซึ่งมีหัวข้อว่า ความเจ็บไข้มาสอนให้เราเป็นคนฉลาด ความเจ็บ ความไข้ เกิดขึ้นแก่เราเพื่อมาสอนเราให้เป็นคนฉลาด คนที่ไม่เข้าใจก็ล้อว่า เขาไม่ต้องการความเจ็บไข้เขาต้องการลาภอย่างยิ่ง ที่เกิดมาจากความไม่เจ็บไม่ไข้ อ้างพระพุทธภาษิตขึ้นมาว่า อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นยอดแห่งลาภ นี้คือคนโง่ใครบ้างที่ว่า อยู่ในโลกนี้แล้วจะไม่เจ็บไม่ไข้

      นี้ปัญหามันก็มีว่า เมื่อความเจ็บไข้เกิดขึ้นแล้ว จะต้องทำอย่างไรจะต้องมาเสียใจ มานั่งบ่น นั่งเพ้อว่าเป็นกรรม เป็นเวร เป็นบาป มาถึงเข้าแล้วบางคนก็ร้องไห้กระสับกระส่าย อย่างนี้เรียกว่า คนโง่ เพราะไม่รู้จักต้อนรับ

     ฉะนั้นเมื่อ เจ็บไข้ทีไร ต้องรู้จักถือเอาความฉลาดรู้จักพิจารณา และรู้จักสลัดออกไป ด้วยสติปัญญา เหมือนกับว่าเป็นการ ฝึกหัดจิตใจให้เข้มแข็งให้ความทุกข์เพียงเท่านี้ครอบงำไม่ได้ เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งความทุกข์ชนิดไหน ก็ครอบงำไม่ได้ เมื่อเราคิดเสียอย่างนี้ ความเจ็บไข้มันก็พ่ายแพ้ไป แม้ว่าความเจ็บไข้นั้นมันจะหนักมาก ถึงกับจะต้องตาย ก็ยังมีทางที่จะคิดได้ว่าสังขารมันเป็นอย่างนี้เอง ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของสังขารทั้งหลายมันเป็นอย่างนี้เอง ถ้าฉลาดถึงขนาดนี้แล้ว ความทุกข์หรือเจ็บไข้หรือความตายชนิดไหนก็ไม่มาทำให้เดือดร้อนได้หรือถึงกับหัวเราะเยาะได้ นี้เป็นหลักสำหรับพุทธบริษัทจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการที่จะเอาชนะความทุกข์

ความเป็นทุกข์ของสังขาร

     ทีนี้ก็ย้อนกลับไปหาหัวข้อข้างต้นที่ว่า รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่เป็นทุกข์ หัวข้อนี้มีทางที่จะอธิบายได้มากมายหลายระดับ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องความเป็นทุกข์ของสังขาร ในบทที่ว่า สัพเพ สังขารา ทุกขา-สังขาร คือสิ่งที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่งทั้งปวงทุกชนิด เป็นทุกข์ หรือว่า เบญจขันธ์อันเป็นที่ตั้งของอุปทานนี้ เป็นความทุกข์ แปลว่า ตัวชีวิตนั้นมันเป็นความทุกข์อยู่ตามธรรมชาติ

      ทีนี้เรา จะแสวงหาความสุข จากสิ่งที่เป็นทุกข์นี้ได้อย่างไร? สติปัญญาของคนธรรมดาคงจะทำไม่ได้จึงต้อง อาศัยสติปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สติปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากพอ ที่จะทำให้สามารถแสวง หาความสุขจากสิ่งที่เป็นทุกข์ เพราะสติปัญญาอันสูงสุดอย่างนี้เองพระองค์จึงได้นามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น ขอให้เราทุกคนลองพยายามคิดนึกศึกษาตามที่พระองค์ทรงสอนไว้

      ก็ร่างกายจิตใจชีวิตนี้ เมื่อปล่อยไปตามเรื่องตามราวของคนที่ไม่มีความรู้มันก็เป็นทุกข์ แต่ถ้ามีปัญญาก็สามารถที่จะพิจารณา เสาะหาเอาแต่แง่มุมที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์ ลองว่ามา ดูว่ามันมีอะไรบ้าง?

      ความเกิดเป็นทุกข์ เราจะทำอย่างไร? เราก็ต้อง ศึกษาเรื่องความเกิด ถ้าไม่มีความเกิด เราก็ไม่มีอะไรจะศึกษา ฉะนั้นต้องมีความเกิดมาให้เรา สำหรับเป็นวัตถุแห่งการศึกษา เมื่อเรามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเกิดนี้อย่างถูกต้องแล้ว ก็สามารถจะทำให้ความเกิดนั้นหยุดเป็นทุกข์ หรือถึงกับไม่มีความเกิดเอาเสียทีเดียว

      ศึกษาจนรู้ว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อย่างนั้นอย่างนี้มีแต่สักว่าธรรมชาติล้วนๆ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป เราได้ความรู้ความเข้าใจถึงขนาดนี้แล้ว ความเกิดก็หมดความเป็นทุกข์แล้วก็ให้สิ่งที่ตรงกันข้ามคือ ความไม่เป็นทุกข์หรือความสุข

      มาถึงความแก่ชรา จะเป็นความแก่ชราอย่างไหนก็ตามใจ ถ้ามีปัญญาพอตัว ก็ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับศึกษาเป็นบทเรียนสำหรับศึกษา ให้รู้ว่า ควมแก่มันเป็นอย่างนี้เอง มันก็มาสอนให้เราฉลาดด้วยเหมือนกันอย่างน้อยก็ให้รู้ว่า สังขารทั้งหลายมันเป็นอย่างนี้ ก็หัวเราะเยาะได้ ฯลฯ

      ความเจ็บไข้ก็อย่างเดียวกันอีก คืออย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เป็นตัวอย่างนั้น เจ็บไข้ทุกทีก็ย่อมจะฉลาดขึ้นทุกที แต่ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ เจ็บไข้ทุกทีก็ยิ่งโง่เข้าทุกที ยิ่งทุกข์ง่าย มีความทุกข์ง่ายขึ้นทุกที จนหมดกำลังใจที่จะต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงของสังขารทั้งหลาย

      ทีนี้ก็มาถึง ความตาย ความตายนี้ เป็นความทุกข์ขึ้นมา ก็เพราะว่าทุกคนยึดมั่นถือมั่น ว่าความตายนี้ของเรา ความตายยังไม่ทันมาถึง ก็มีทุกข์เหลือประมาณ

      โดยมากคนเรามีความทุกข์ เพราะสิ่งที่ยังไม่มาถึง แทบจะทั้งนั้นหมายความว่าคิดเอาเอง หวั่นวิตกเอาเอง ยึดมั่นถือมั่นเอาเอง เป็นทุกข์มากมายมหาศาล จากสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น พอถึงคราวที่ตายเข้าจริงๆ หามีเวลาที่จะไปคิดนึกมากอย่างนั้นไม่ มีปัญหาเรื่องความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นปีๆ ล่วงหน้าถึงเวลาจะตายเข้าจริง ไม่กี่นาทีก็ตายได้ ฯลฯ

      นี้คือวิธีที่จะทำให้โลกนี้ ไม่มีอะไรที่จะเป็นทุกข์แก่บุคคล ผู้มีสติปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเป็นเครื่องคุ้มครอง

      ทั้งหมดนี้ ตามที่กล่าวมานี้ เป็นหลักใหญ่ๆ ในพระพุทธศาสนา เมื่อพูดถึง ความทุกข์ ก็หมายถึง ความทุกข์ ที่เกิดมาจากเบญจขันธ์ ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน เราเป็นผู้รู้จักเข็ด รู้จักหลาบ รู้จักสังเกต เป็นทุกข์ทุกที ก็ฉลาดขึ้นทุกที ไม่ใช่เป็นทุกข์ทุกที ยิ่งโง่เข้าทุกที ยิ่งท้อถอย ยิ่งหมดกำลังใจเข้าทุกทีมีความทุกข์ทีไร ก็จะต้องถือเอากำไรให้ได้จากความทุกข์นั้น ถ้ามันทุกข์มากก็จะถือเอาความรู้ให้ได้มาก คือ ให้มีกำไรมาก แล้วแต่ว่าความทุกข์นั้นมันจะมีมาในลักษณะไหน หรือขนาดไหน ยิ่งทุกข์มาก ยิ่งดี จะได้รู้ความจริงเกี่ยวกับข้อนี้มาก

      เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ไม่เท่าไรก็จะไม่มีอะไรที่จะเป็นความทุกข์ ความทุกข์เข้ามา แปลงให้เป็นความสุขไปเสียได้เป็นคาถาอาคมอะไรชนิดหนึ่ง ซึ่งประเสริฐที่สุดสำหรับมนุษย์ คือสามารถที่จะเอาชนะความทุกข์ทุกอย่างได้ ให้กลายเป็นความรู้บ้าง ให้กลายเป็นความสามารถบ้าง


วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Buddhist proverb 4 กัมมวรรค - หมวดกรรม


Buddhist proverb 4 กัมมวรรค - หมวดกรรม


กัมมวรรค - หมวดกรรม


สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทุคฺคติ
กรรมชั่วของตนเอง ย่อมนำไปสู่ทุคคติ
ขุ.ธ. ๒๕/๔๗

สุกรํ สาธุนา สาธุ
ความดี อันคนดีทำง่าย
ขุ.อุ. ๒๕/๑๖๗

สาธุ ปาเปน ทุกฺกรํ
ความดี อันคนชั่วทำยาก
ขุ.อุ. ๒๕/๑๖๗

ตญฺจ กมฺมํ กตํ สาธุ ยํ กตฺวา นานุตปฺปติ
ทำกรรมใดแล้วไม่ร้อนใจภายหลัง กรรมที่ทำนั้นแลเป็นดี
ขุ.ธ. ๒๕/๒๓

น ตํ กมฺมํ กตํ สาธุ ยํ กตฺวา อนุตปฺปติ
ทำกรรมใดแล้วร้อนใจภายหลัง กรรมที่ทำแล้วนั้นไม่ดี
ขุ.ธ. ๒๕/๒๓

ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ
บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น
ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว
สํ.ส. ๑๕/๓๓๓

นิสมฺม กรณํ เสยฺโย
ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำดีกว่า
ว.ว.

รกฺเขยฺย อตฺตโน สาธุ ลวณํ โลณตํ ยถา
พึงรักษาความดีของตนไว้ ดังเกลือรักษาความเค็ม
ส.ส.

นานตฺถกามสฺส กเรยฺย อตฺถํ
ไม่พึงทำประโยชน์แก่ผู้มุ่งความพินาศ
ขุ.ชา.ทสก. ๒๗/๘๔

อติสีตํ อติอุณฺหํ อติสายมิทํ อหุ
อิติ วิสฺฏฺฐกมฺมนฺเต อตฺถา อจฺเจนฺติ มาณเว
ประโยชน์ทั้งหลายย่อมล่วงเลยคน ผู้ทอดทิ้งการงาน
ด้วยอ้างว่า หนาวนัก ร้อนนัก เย็นเสียแล้ว
ที.ปาฏิ. ๑๑/๑๙๙

อถ ปาปานิ กมฺมานิ กรํ พาโล น พุชฺฌติ
เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ
เมื่อคนโง่มีปัญญาทราม ทำกรรมชั่วอยู่ก็ไม่รู้สึก
เขาเดือดร้อนเพราะกรรมของตน เหมือนถูกไฟไหม้
ขุ.ธ. ๒๕/๓๓

โย ปุพฺเพ กรณียานิ ปจฺฉา โส กาตุมิจฺฉติ
วรุณกฏฺฐํ ภญฺโชว ส ปจฺฉา อนุตปฺปต
ผู้ใดปรารถนาทำกิจที่ควรทำก่อนในภายหลัง
ผู้นั้นย่อมเดือดร้อนในภายหลัง ดุจมาณพ (ผู้ประมาทแล้วรีบ) หักไม้กุ่ม ฉะนั้น
(โพธิสตฺต) ขุ.ชา.เอก. ๒๗/๒๓

สเจ ปุพฺเพกตเหตุ สุขทุกฺขํ นิคจฺฉติ
โปราณกํ กตํ ปาปํ ตเมโส มุญฺจเต อิณํ
ถ้าประสบสุขทุกข์ เพราะบุญบาปที่ทำไว้ก่อนเป็นเหตุ
ชื่อว่าเปลื้องบาปเก่าที่ทำไว้ ดุจเปลื้องหนี้ ฉะนั้น
(โพธิสตฺต) ขุ.ชา.ปณฺณาส. ๒๘/๒๕

สุขกามานิ ภูตานิ โย ทณฺเฑน น หึสติ
อตฺตโน สุขเมสาโน เปจฺจ โส ลภเต สุขํ
สัตว์ทั้งหลายย่อมต้องการความสุข ผู้ใดแสวงหาสุขเพื่อตน
ไม่เบียดเบียนเขาด้วยอาชญา ผู้นั้นละไปแล้ว ย่อมได้สุข
ขุ.ธ. ๒๕/๓๒

สุขกามานิ ภูตานิ โย ทณฺเฑน วิหึสติ
อตฺตโน สุขเมสาโน เปจฺจ โส น ลภเต สุขํ
สัตว์ทั้งหลายย่อมต้องการความสุข ผู้ใดแสวงหาสุขเพื่อตน
เบียดเบียนเขาด้วยอาชญา ผู้นั้นละไปแล้ว ย่อมไม่ได้สุข
ขุ.ธ. ๒๕/๓๒

อุฏฺฐาตา กมฺมเธยฺเยสุ อปฺปมตฺโต วิจกฺขโณ
สุสํวิหิตกมฺมนฺโต ส ราชวสตึ วเส
ผู้หมั่นในการงาน ไม่ประมาท เป็นผู้รอบคอบ
จัดการงานเรียบร้อย จึงควรอยู่ในราชการ
ขุ.ชา.มหา. ๒๘/๓๓๙

ปาปญฺเจ ปุริโส กยิรา น นํ กยิรา ปุนปฺปุนํ
น ตมฺหิ ฉนฺทํ กยิราถ ทุกโข ปาปสฺส อุจฺจโย
ถ้าคนพึงทำบาป ก็ไม่ควรทำบาปนั้นบ่อยๆ
ไม่ควรทำความพอใจในบาปนั้น เพราะการสั่งสมบาป นำทุกข์มาให้
ขุ.ธ. ๒๕/๓๐

โย ปุพฺเพ กตกลฺยาโณ กตตฺโถ นาวพุชฺฌติ
ปจฺฉา กิจฺเจ สมุปฺปนฺเน กตฺตารํ นาธิคจฺฉติ
ผู้อื่นทำความดีให้ ทำประโยชน์ให้ก่อน แต่ไม่นึกถึง (บุญคุณ)
เมื่อมีกิจเกิดขึ้นภายหลัง จะหาผู้ช่วยทำไม่ได้
(โพธิสตฺต) ขุ.ชา.เอก. ๒๗/๒๙

สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส สพฺเพ ภายนฺติ มจฺจุโน
อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา น หเนยฺย น ฆาตเย
สัตว์ทั้งปวงหวาดต่ออาชญา ล้วนกลัวต่อความตาย
ควรทำตนให้เป็นอุปมาแล้วไม่พึงฆ่าเอง ไม่พึงใช้ผู้อื่นให้ฆ่า
ขุ.ธ. ๒๕/๓๒

Buddhist proverb 7 อัปปมาทวรรค - หมวดไม่ประมาท


Buddhist proverb 7 อัปปมาทวรรค - หมวดไม่ประมาท


อัปปมาทวรรค - หมวดไม่ประมาท


อปฺปมาโท อมตํ ปทํ
ความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย
ขุ.ธ. ๒๕/๑๘

อปฺปมาทญฺจ เมธาวี ธนํ เสฏฺฐํว รกฺขติ
ปราชญ์ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้ เหมือนรักษาทรัพย์อันประเสริฐ
ขุ.ธ. ๒๕/๑๘

อปฺปมตฺตา น มียนฺติ
ผู้ไม่ประมาท ย่อมไม่ตาย
ขุ.ธ. ๒๕/๑๘

อปฺปมตฺโต หิ ฌายนฺโต ปปฺโปติ วิปุลํ สุขํ
ผู้ไม่ประมาทพินิจอยู่ ย่อมถึงสุขอันไพบูลย์
ขุ.ธ. ๒๕/๑๘

อปฺปมตฺตา สตีมนฺโต สุสีลา โหถ ภิกฺขโว
สุสมาหิตสงฺกปฺปา สจิตฺตมนุรกฺขถ
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีลดีงาม
ตั้งความดำริไว้ให้ดี คอยรักษาจิตใจของตน
ที.มหา. ๑๐/๑๔๒

อปฺปมาทรตา โหถ สจิตฺตมนุรกฺขถ
ทุคฺคา อุทฺธรถตฺตานํ ปงฺเก สนฺโนว กุญฺชโร
ท่านทั้งหลายจงยินดีในความไม่ประมาท จงตามรักษาจิตของตน
จงถอนตนขึ้นจากหล่มคือกิเลสที่ถอนได้ยาก เหมือนช้างที่ตกหล่ม ถอนตนขึ้น ฉะนั้น
ขุ.ธ. ๒๕/๓๓/๕๘

อปฺปมาทรโต ภิกฺขุ ปมาเท ภยทสฺสิ วา
สญฺโญชนํ อณุ ํ ถูลํ ฑหํ อคฺคีว คจฺฉติ
ภิกษุยินดีในความไม่ประมาท หรือเห็นภัยในความประมาท
ย่อมเผาสังโยชน์น้อยใหญ่ไป เหมือนไฟไหม้เชื้อน้อยใหญ่ไป ฉะนั้น
ขุ.ธ. ๒๕/๑๙

อปฺปมาทรโต ภิกฺขุ ปมาเท ภยทสฺสิ วา
อภพฺโพ ปริหานาย นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก
ภิกษุยินดีในความไม่ประมาท หรือเห็นภัยในความประมาท
เป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะเสื่อม (ชื่อว่า) อยู่ใกล้พระนิพพานทีเดียว
ขุ.ธ. ๒๕/๑๙

เอวํวิหารี สโต อปฺปมตฺโต
ภิกฺขุ จรํ หิตฺวา มมายิตานิ
ชาติชรํ โสกปริทฺทวญฺจ
อิเธว วิทฺวา ปชเหยฺย ทุกฺขํ
ภิกษุผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ มีสติ ไม่ประมาท
ละความถือมั่นว่าของเราได้แล้วเที่ยวไป เป็นผู้รู้
พึงละชาติ ชรา โสกะ ปริเทวะ และทุกข์ ในโลกนี้ได้
ขุ.สุ. ๒๕/๕๓๕, ขุ.จู. ๓๐/๙๒

อุฏฺฐาเนนปฺปมาเทน สญฺญเมน ทเมน จ
ทีปํ กยิราถ เมธาวี ยํ โอโฆ นาภิกีรติ
ผู้มีปัญญา พึงสร้างเกาะที่น้ำหลากมาท่วมไม่ได้
ด้วยความหมั่น ความไม่ประมาท ความสำรวมระวัง และความข่มใจ
ขุ.ธ. ๒๕/๑๒/๑๘

อปฺปมตฺโต ปมตฺเตสฺ สุตฺเตสุ พหุชาคโร
อพลสฺสํว สีฆสฺโส หิตฺวา ยาติ สุเมธโส
คนมีปัญญาดีไม่ประมาทในเมื่อผู้อื่นประมาท มักตื่นในเมื่อผู้อื่นหลับ
ย่อมละทิ้งคนนั้น เหมือนม้าฝีเท้าเร็ว ทิ้งม้าไม่มีกำลังไป ฉะนั้น
ขุ.ธ. ๒๕/๑๘

อุฏฺฐานวโต สติมโต สุจิกมฺมสฺส นิสมฺมาการิโน
สญฺญตสฺส จ ธมฺมชีวิโน อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒติ
ยศย่อมเจริญแก่ผู้มีความหมั่น มีสติ มีการงานสะอาด
ใคร่ครวญแล้วทำ ระวังดีแล้ว เป็นอยู่โดยธรรม และไม่ประมาท
ขุ.ธ. ๒๕/๑๘

Buddhist proverb 1 อัตตวรรค - หมวดตน


Buddhist proverb 1 อัตตวรรค - หมวดตน


อัตตวรรค - หมวดตน


อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย
ชนะตนนั่นแหละ เป็นดี
ขุ.ธ. ๒๕/๒๙

อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม
ได้ยินว่าตนแลฝึกยาก
ขุ.ธ. ๒๕/๓๖

อตฺตา สุทนฺโต ปุริสสฺส โชติ
ตนที่ฝึกดีแล้ว เป็นแสงสว่างของบุรุษ
สํ.ส. ๑๕/๒๔๘

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
ตนแล เป็นที่พึ่งของตน
ขุ.ธ. ๒๕/๓๖, ๖๖

อตฺตา หิ อตฺตโน คติ
ตนแล เป็นคติของตน
ขุ.ธ. ๒๕/๓๖

อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ
ตนทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง
ขุ.ธ. ๒๕/๓๗

อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ
ตนไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง
ขุ.ธ. ๒๕/๓๗

อตฺตตฺถปัญฺญา อสุจี มนุสฺสา
มนุษย์ผู้เห็นแก่ประโยชน์ตน เป็นคนไม่สะอาด
ขุ.สุ. ๒๕/๒๙๖/๓๓๙

อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา
บัณฑิต ย่อมฝึกตน
ขุ.ธ. ๒๕/๒๕

อตฺตานํ ทมยนฺติ สุพฺพตา
ผู้ประพฤติดี ย่อมฝึกตน
ขุ.ธ. ๒๕/๓๔

อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ
บุคคลมีตนฝึกดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้ยาก
ขุ.ธ. ๒๕/๓๖

อตฺตานญฺเจ ปิยํ ชญฺญา รกฺเขยฺย นํ สุรกฺขิตํ
ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ควรรักษาตนนั้นให้ดี
ขุ.ธ. ๒๕/๓๖

อตฺตานญฺเจ ตถา กยิรา ยถญฺญมนุสาสติ
ถ้าพร่ำสอนผู้อื่นฉันใด ก็ควรทำตนฉันนั้น
ขุ.ธ.๒๕/๓๖

ทุคฺคา อุทฺธรถตฺตานํ ปงฺเก สนฺโนว กุญฺชโร
จงถอนตนขึ้นจากหล่ม เหมือนช้างตกหล่มถอนตนขึ้นฉะนั้น
ขุ.ธ. ๒๕/๕๘

อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน พหุนาปิ น หาปเย
อตฺตทตฺถมภิญฺญาย สทตฺถปสุโต สิยา
บุคคลไม่พึงยังประโยชน์ของตนให้เสื่อม เพราะประโยชน์ของผู้อื่นแม้มาก
บุคคลรู้จักประโยชน์ของตนแล้ว พึงขวนขวายในประโยชน์ของตน
ขุ.ธ. ๒๕/๒๒/๓๗

อตฺตานญฺเจ ตถา กยิรา ยถญฺญมนุสาสติ
สุทนฺโต วต ทเมถ อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม
ถ้าพร่ำสอนผู้อื่นฉันใด ก็ควรทำตนฉันนั้น
ผู้ฝึกตนดี ควรฝึกผู้อื่น ได้ยินว่าตนแลฝึกยาก
ขุ.ธ. ๒๕/๓๖

อตฺตานเมว ปฐมํ ปฏิรูเป นิเวสเย
อถญฺญมนุสาเสยฺย น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต
บัณฑิตพึงตั้งตนไว้ในคุณอันสมควรก่อน
สอนผู้อื่นภายหลัง จึงไม่มัวหมอง
ขุ.ธ. ๒๕/๓๖

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ
ตนแล เป็นที่พึ่งของตน คนอื่น ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
ก็บุคคลมีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้ยาก
ขุ.ธ. ๒๕/๓๖

นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ นตฺถิ ธญฺญสมํ ธนํ
นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา วุฏฐิ เว ปรมา สราติ
ความรักเสมอด้วยความรักตนไม่มี ทรัพย์เสมอด้วยข้าวเปลือกย่อมไม่มี
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาย่อมไม่มี ฝนต่างหากเป็นสระยอดเยี่ยม
สํ.ส. ๑๕/๒๙/๙

ยสฺส อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยํ มาลุวา สาลมิโวตฺถตํ
กโรติ โส ตถตฺตานํ ยถา นํ อิจฺฉตี ทิโส
ผู้ใดมีความไร้ศีลธรรม (ทุศีล) ครอบงำ เหมือนเถาย่านทรายคลุมไม้สาละ
ผู้นั้นชื่อว่าย่อมทำตนเหมือนถูกผู้ร้ายคุมตัว
ขุ.ธ. ๒๕/๒๒/๓๗

Touching the Earth

Touching the Earth


Touching the Earth

"Earth brings us to life 
and nourishes us. 
Earth takes us back again, 
We are born and we die with every breath."

Using the Telephone 
"Words can travel thousands of miles. 
May my words create mutual understanding and love. 
May they be as beautiful as gems, 
as lovely as flowers."

Washing Feet 
"The peace and joy 
of one toe 
is peace and joy 
for my whole body."

-Thich Nhat Hanh-


Thich Nhat Hanh Quotes 1

Thich Nhat Hanh



"If we are not peaceful, if we are not feeling well in our skin, we cannot demonstrate real peace, and we cannot raise our children well either."
–Thich Nhat Hanh-


"We can smile, breathe, walk, and eat our meals in a way that allows us to be in touch with the abundance of happiness that is available. We are very good at preparing to live, but not very good at living. We know how to sacrifice ten years for a diploma, and we are willing to work very hard to get a job, a car, a house, and so on. But we have difficulty remembering that we are alive in the present moment, the only moment there is for us to be alive. Every breath we take, every step we make, can be filled with peace, joy, and serenity. We need only to be awake, alive in the present moment."
–Thich Nhat Hanh-



"Be Yourself. Life is precious as it is. All the elements for your happiness are already here. There is no need to run, strive, search, or struggle. Just be."
–Thich Nhat Hanh-


"Because of your smile, you make life more beautiful."
–Thich Nhat Hanh-


"And once we have the condition of peace and joy in us, we can afford to be in any situation. Even in the situation of hell, we will be able to contribute our peace and serenity. The most important thing is for each of us to have some freedom in our heart, some stability in our heart, some peace in our heart. Only then will we be able to relieve the suffering around us."
–Thich Nhat Hanh-

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Compassion Quotes

Compassion Quote


By Thich Nhat Hanh

Compassion springs from the heart, as pure, refreshing water, healing the wounds of life.
-Thich Nhat Hanh-



From Thich Nhat Hanh


Root of Anger

Thich Nhat Hanh

"When you say something really unkind, when you do something in retaliation your anger increases. You make the other person suffer, and he will try hard to say or to do something back to get relief from his suffering. That is how conflict escalates." 


"Root out the violence in your life, and learn to live compassionately and mindfully. Seek peace. When you have peace within, real peace with others is possible."

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นิทานเซ็น เล่าโดย .. ท่านพุทธทาสภิกขุ เรื่อง น้ำชาล้นถ้วย


นิทานเซ็น เล่าโดย .. ท่านพุทธทาสภิกขุ เรื่อง น้ำชาล้นถ้วย
  
          เรื่องที่หนึ่ง ซึ่งไม่อยากจะเว้นเสีย ทั้งที่ เคยเอ่ยถึงแล้ว วันก่อน คือ เรื่อง น้ำชาล้นถ้วย คือว่า อาจารย์ แห่งนิกายเซ็น ชื่อ น่ำอิน เป็น ผู้มีชื่อเสียง ทั่วประเทศ และ โปรเฟสเซอร์ คนหนึ่ง  เป็น โปรเฟสเซอร์ ที่มีชื่อเสียง ทั่วประเทศ ไปหา อาจารย์น่ำอิน เพื่อขอศึกษา พระพุทธศาสนา อย่างเซ็น ในการต้อนรับ ท่านอาจารย์ น่ำอิน ได้รินน้ำชา ลงในถ้วย รินจนล้นแล้วล้นอีก 

          โปรเฟสเซอร์ มองดูด้วยความฉงน ทนดูไม่ได้ ก็พูดโพล่งออกไปว่า "ท่านจะใส่มัน ลงไปได้อย่างไร" ประโยคนี้ มันก็แสดงว่า โมโห ท่านอาจารย์ น่ำอิน จึงตอบว่า" ถึงท่านก็เหมือนกัน อาตมาจะใส่อะไร ลงไปได้อย่างไร เพราะท่านเต็มอยู่ด้วย opinions และ speculations ของท่านเอง" คือว่า เต็มไปด้วยความคิด ความเห็น ตามความ ยึดมั่นถือมั่น ของท่านเอง และมีวิธีคิดนึก คำนวณ ตามแบบ ของท่านเอง สองอย่างนี้แหละ มันทำให้เข้าใจ พุทธศาสนาอย่างเซ็น ไม่ได้ เรียกว่า ถ้วยชามันล้น

        ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จะเตือนสติเด็กของเราให้รู้สึกนึกคิด เรื่องอะไรล้น อะไรไม่ล้น ได้อย่างไร ขอให้ช่วยกันหาหนทาง ในครั้งโบราณ ในอรรถกถา ได้เคย กระแหนะกระแหน ถึง พวกพราหมณ์ ที่เป็น ทิศาปาโมกข์ ต้องเอาเหล็กมาตี เป็นเข็มขัด คาดท้องไว้ เนื่องด้วย กลัวท้องจะแตก เพราะวิชาล้น นี้จะเป็นเรื่อง ที่มีความหมายอย่างไร ก็ลองคิดดู พวกเรา อาจล้น หรือ อัดอยู่ด้วยวิชาทำนองนั้น จนอะไรใส่ ลงไปอีกไม่ได้ หรือ ความล้นนั้น มันออกมา อาละวาด เอาบุคคลอื่น อยู่บ่อยๆ บ้างกระมัง แต่เราคิดดูก็จะเห็นได้ว่า ส่วนที่ล้น นั้น คงจะเป็นส่วน ที่ใช้ไม่ได้ จะจริงหรือไม่ ก็ลองคิด 

        ส่วนใดที่เป็นส่วนที่ล้น ก็คงเป็น ส่วนที่ใช้ไม่ได้ ส่วนที่ร่างกาย รับเอาไว้ได้ ก็คงเป็น ส่วนที่มีประโยชน์ ฉะนั้น จริยธรรมแท้ๆ ไม่มีวันจะล้น โปรดนึกดูว่า จริยธรรม หรือ ธรรมะแท้ๆ นั้น มีอาการล้นได้ไหม ถ้าล้นไม่ได้ ก็หมายความว่า สิ่งที่ล้นนั้น มันก็ไม่ใช่จริยธรรม ไม่ใช่ธรรมะ ล้นออกไป เสียให้หมด ก็ดีเหมือนกัน หรือ ถ้าจะพูดอย่างลึก เป็นธรรมะลึก ก็ว่า จิตแท้ๆ ไม่มีวันล้น อ้ายที่ล้นนั้น มันเป็นของปรุงแต่งจิต ไม่ใช่ตัวจิตแท้ มันล้นได้มากมาย แต่ถึงกระนั้น เราก็ยังไม่รู้ว่า จิตแท้คืออะไร อะไรควรเป็น จิตแท้ และอะไรเป็นสิ่ง ที่ไม่ใช่จิตแท้ คือ เป็นเพียง ความคิดปรุงแต่ง ซึ่งจะล้นไหลไปเรื่อย นี่แหละ รีบค้นหาให้พบ สิ่งที่เรียกว่า จิตจริงๆ กันเสียสักที ก็ดูเหมือนจะดี

        ในที่สุด ท่านจะพบตัวธรรมะอย่างสูง ที่ควรแก่นามที่จะเรียกว่า จิตแท้ หรือ จิตเดิมแท้ ซึ่งข้อนั้น ได้แก่ ภาวะแห่งความว่าง จิตที่ประกอบด้วย สภาวะแห่งความว่างจาก "ตัวกู-ของกู" นั้นแหละ คือ จิตแท้ ถ้าว่างแล้ว มันจะเอาอะไรล้น นี่เพราะเนื่องจากไม่รู้จักว่า อะไรเป็นอะไร จึงบ่นกันแต่เรื่องล้น การศึกษาก็ถูกบ่นว่า ล้น และที่ร้ายกาจที่สุด ก็คือ ที่พูดว่า ศาสนานี้ เป็นส่วนที่ล้น จริยธรรมเป็นส่วนล้น คือส่วนที่เกิน คือ เกินต้องการ ไม่ต้องเอามาใส่ใจ ไม่ต้องเอามาสนใจ เขาคิดว่า เขาไม่ต้อง เกี่ยวกับศาสนา หรือธรรมะเลย เขาก็เกิดมาได้ พ่อแม่ก็มีเงินให้ เขาใช้ให้เขาเล่าเรียน เรียนเสร็จแล้ว ก็ทำราชการ เป็นใหญ่เป็นโต ได้โดยไม่ต้อง มีความเกี่ยวข้อง กับศาสนาเลย 

       ฉะนั้น เขาเขี่ยศาสนา หรือ ธรรมะ ออกไปในฐานะ เป็นส่วนล้น คือ ไม่จำเป็น นี่แหละ เขาจัดส่วนล้น ให้แก่ศาสนาอย่างนี้ คนชนิดนี้ จะต้องอยู่ ในลักษณะที่ ล้นเหมือน โปรเฟสเซอร์คนนั้น ที่อาจารย์น่ำอิน จะต้อง รินน้ำชาใส่หน้า หรือ ว่ารินน้ำชาให้ดู โดยทำนองนี้ทั้งนั้น เขามีความเข้าใจผิดล้น ความเข้าใจถูกนั้นยังไม่เต็ม มันล้นออกมา ให้เห็น เป็นรูปของ มิจฉาทิฎฐิ เพราะเขาเห็นว่า เขามีอะไรๆ ของเขาเต็มเปี่ยมแล้ว ส่วนที่เป็นธรรมะ เป็นจริยธรรมนี่ เข้าไม่จุ อีกต่อไป ขอจงคิดดูให้ดีเถอะว่า นี้แหละ คือ มูลเหตุที่ทำให้จริยธรรม รวนเร และ พังทลาย ถ้าเรามีหน้าที่ ที่จะต้องผดุงส่วนนี้แล้ว จะต้องสนใจเรื่องนี้


บทความที่ได้รับความนิยม