วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมตตา อภัย สันติ


เมตตา อภัย สันติ
เขียนโดย ปิยโสภณ

คัดลอกจากหนังสือ “เมตตา อภัย สันติ ทางแห่งสันติธรรม”
รวบรวมในหนังสือ “ความจริงเกี่ยวกับ ความรัก ความโกรธ และ ความเมตตา เล่ม ๓” 

     พระพุทธศาสนา ไม่ต่างอะไรกับยาดีที่หาได้ยาก เป็นยาที่สามารถป้องกันและเยียวยาโรคร้ายต่าง ๆ ได้ดีจริง แม้จะมีน้อย ก็จะสามารถเยียวยาโรคภัยนั้นได้จริง

     โลกของเราเวลานี้ กำลังเป็นโรคร้าย อันก่อตัวมาจากแรงกระตุ้นของราคะ โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ความลุ่มหลงในอำนาจ จำต้องอาศัยยาดีคือ เมตตา อภัย สันติ มาเยียวยา

     พระพุทธศาสนามียาดีมาให้ ด้วยหลักเมตตา อภัย สันติ พระพุทธศาสนาจะเป็นที่พึ่งอย่างยิ่งของโลกยุคนี้ เพราะเป็นหลักการที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ดีแล้ว และพระพุทธศาสนาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วในระยะเวลา ๒๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา

     พวกเราชาวพุทธต้องภูมิใจ และต้องช่วยกันสร้างเมล็ดพันธุ์แห่งเมตตา อภัย สันติ ให้เกิดขึ้นในใจ และแผ่ขยายให้โลกได้ลิ้มรส

     เมล็ดพันธุ์แห่งเมตตา อภัย สันติ นี้เป็นของสากล คือความคิดที่เป็นบวก คือความคิดชอบ พูดชอบ ทำชอบ กระทั่งกลายเป็นพลังบวก พลังบวกคือปรมาณูแห่งสันติที่ทุกคนต้องสร้างจากภายในจิตแต่ละดวง ชี้ไปที่จิตดวงอื่นไม่ได้ เมื่อทุกคนทำพร้อมกัน พลังบวกก็จะแผ่ความร่มเย็นคุ้มครองโลกได้อย่างเร็วพลัน

     พวกเราต้องช่วยกันเพาะเมล็ดพันธุ์ ลงในหุ้นส่วนทุกหมู่เหล่า กระทั่งโลกทั้งโลกมีหุ้นส่วนแห่งเมตตา อภัย สันติ ร่วมกัน

     โลกร้อนระอุ เปลวเพลิงราคะ โทสะ โมหะ โกรธ เกลียด เคียดแค้น กำลังโหมกระหน่ำซ้ำเติมโลก ยิ่งกว่าภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิ มนุษย์กำลังพร่ำเรียกหาเมตตา อภัย สันติ คำสอนทางพระพุทธศาสนากำลังถูกยกขึ้นสู่สังคมโลก เหมือนหาน้ำมาดับไฟที่กำลังลุกไหม้

     เพราะคนขาดเมตตา ขาดการให้อภัย จึงทำให้โลกขาดสันติสุข พระพุทธศาสนาพร่ำสอนเรื่องเหล่านี้มานานกว่า ๒๕๐๐ ปีแล้ว จึงถือว่า เป็นโอกาสสำคัญของชาวพุทธที่จะหันมาช่วยกันกอบกู้โลกคราววิกฤต

     พระพุทธศาสนากำลังกลายเป็นศาสนาที่โลกหวังพึ่ง เพราะคำสอนทุกบรรทัดล้วนแต่สอนให้คนยุติการเบียดเบียน มิใช่ยุติการเบียดเบียนคนอื่นเท่านั้น แม้เป็นการเบียดเบียนตนเองก็ต้องยุติด้วย

     พระพุทธองค์ทรงสอนให้มองศัตรูภายใน คืออำนาจแห่งราคะ โทสะ โมหะ คือศัตรูตัวฉกาจที่สุด และซ่อนตัวอยู่ในใจเราเอง

     การมองคนอื่นเป็นศัตรู คือการสร้างความเดือดร้อนทั้งเราและเขา เพราะผู้ถูกกล่าวหาก็จะกล่าวหาเราตอบ ผู้ถูกทำร้ายก็จะหาทางแก้แค้นตอบโต้ แต่ถ้ามองเห็นศัตรูภายในตัวเราได้ ทุกอย่างก็จบ ไม่ต้องไปกล่าวหาใครให้เกิดศึกสงคราม

     สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสสอนตรงกันข้าม คือทรงสอนให้คนเราเสียสละ ความสุขของเราอยู่ที่ทำให้คนอื่นมีความสุขมากกว่าตน การคิดเช่นนี้ เรียกว่าคิดบวก มนุษย์เราต้องจับผิดตัวเราเอง ส่วนคนอื่นให้จับถูก มองค้นหาผิดให้มองเข้าหาตน แต่ถ้าจะมองไปที่คนอื่น ต้องค้นหาถูกของเขาให้พบ

     ด้วยเหตุนี้ คำสอนของพระพุทธองค์ จึงเป็นแสงสว่างของโลก เพราะเป็นคำสอนที่เน้นให้คนมองบวก มองดี ยุติการมองร้ายซึ่งกันและกัน พระพุทธศาสนา จึงเป็นศาสนาที่โลกหวังพึ่ง เป็นคำสอนที่จะสามารถยุติการเข่นฆ่าพยาบาทเบียดเบียนกันได้จริง

     พระพุทธองค์ทรงผลิตธรรมาวุธไว้ช่วยโลกนานแล้ว วันนี้เมตตา อภัย สันติ จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากโลกไม่สามารถทดแทนศาสตรวุธด้วยธรรมาวุธ ไม่ทดแทนมิจฉาทิฏฐิด้วยสัมมาทิฏฐิ ไม่เปลี่ยนพลังลบให้เป็นพลังบวก

     พระพุทธองค์ ไม่ได้สอนให้ศาสนิกชนทำชั่วเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้สอนเรื่องอ้อนวอนบวงสรวงส่งส่วยบูชายัญประหัตประหารชีวิตกัน เพื่อประจบสอพลอขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากแต่สอนว่า ใครทำชั่ว ผู้นั้นจะต้องได้รับผลชั่วนั้นด้วยตัวเขาเอง ใครทำดี พูดดี คิดดี ผลความดีที่ทำก็จะเผล็ดผลต่อเขาเองเช่นกัน ไม่มีใครจะลงมาไถ่บาปกรรมนั้นจากเขาได้ ไม่มีอำนาจดลบันดาลอื่นใดที่จะกลับดำให้เป็นขาวได้ แต่ที่ทำมามนุษย์ล้วนแอบอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น

     เมื่อมองไปรอบด้านแล้ว ก็เห็นชัดว่า คำสอนในพระพุทธศาสนาที่สอนเรื่องเมตตา อภัย สันติ นี่เอง คือทางรอดของโลก ปราศจากเมตตาต่อกัน ให้อภัยกัน โลกจะร่มเย็นได้อย่างไร

     ประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา ยืนยันหลักการทั้ง ๓ นี้ได้เป็นอย่างดี เพราะไม่มีการเข่นฆ่ากันในนามศาสนา ไม่มีศึกสงครามในนามองค์กร ชาวพุทธยอมแพ้เพื่อให้เรื่องสงบ ไม่มีการเบียดเบียนใดที่เกิดขึ้นในนามของพระพุทธเจ้า ไม่มีการทำศึกสงครามใด ๆ ในนามสิ่งศักดิ์สิทธิ์

     ถ้าจะทำศึกสงคราม พระพุทธเจ้าให้ต่อสู้กับตนเอง ให้มองเข้ามาข้างใน หาข้อบกพร่องของตนเอง จับผิดตนเองให้ได้ แล้วแก้ไขตัวเองให้เรียบร้อย แต่ถ้าจะมองออกข้างนอก หรือมองไปที่คนอื่น ให้มองเป็นเมตตา มองแล้วให้อภัยกัน ให้เกิดสันติสุข หาทาง “จับถูก” แทนการ “จับผิด”

     เมื่อใดมองออก พร้อมจิตที่ขาดเมตตา อภัย และสันติ เมื่อนั้นเราจะพบแต่ความผิดของคนอื่น ศึกสงครามและศัตรู ยืนรอเราอยู่รอบด้าน เปลวเพลิงโทสะพยาบาทเบียดเบียน ก็จะลุกโชนขึ้นไม่สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้ พระพุทธศาสนา จึงเป็นเส้นทางสายไหมของโลกยุคใหม่ เส้นทางสายที่ไร้การเข่นฆ่าเบียดเบียน สายพอดีพอเพียง สายที่มองบวก จับถูก เมตตา อภัย สันติ ทางสายนี้ มิใช่รักษามวลมนุษย์ให้รอดเท่านั้น หากแต่สามารถรักษาโลกกลม ๆ ใบนี้ให้ปลอดภัยได้โดยไม่ต้องสงสัย.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม