วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ติช นัท ฮันห์ พลังแห่งสติ...ความสุขหนึ่งเดียว

ท่านติช นัท ฮันห์ นำพาชาวไทยและชาวต่างชาติ “เดินสมาธิ” 
รอบสวนลุมพินี เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2550 

ติช นัท ฮันห์ พลังแห่งสติ...ความสุขหนึ่งเดียว 

“หายใจเข้า...ให้ตระหนักรู้ว่าหายใจเข้า” 
“หายใจออก...ให้ตระหนักรู้ว่าหายใจออก” 

ดวงอาทิตย์ยังคงแผดแสงจ้าในยามบ่ายของวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2550 หากภายในอาคารลุมพินีสถาน สวนลุมพินี สถานที่จัดกิจกรรม “วันแห่งสติ” กลับร่มเย็น เงียบสงบด้วยผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติทุกเพศวัย-หลายศาสนาหลายพันคน ล้วนเจริญสติตระหนักรู้ถึงลมหายใจของตน สร้างบรรยากาศแห่งธรรมให้เกิดขึ้น 

ทันทีที่ย่างเท้าก้าวเข้าสู่อาคารลุมพินีสถาน ทุกคนก็จะได้รับแจกกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งบรรจุไว้ด้วยเนื้อหาของบทเพลงแห่งหมู่บ้านพลัม เปิดพลิกอ่านดูก่อนที่กิจกรรมจะเริ่มในเวลา 14.30 น. พบว่ามีทั้งสิ้น 13 เพลงทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อ่านดูในเนื้อหาก็รู้สึกถึงความเรียบง่ายและลึกซึ้งราวกับบทกวีที่ไร้ฉันทลักษณ์ 

เมื่อกิจกรรมเริ่มขึ้น บทเพลงเพลงแรกแห่งหมู่บ้านพลัมก็ได้ถูกบรรเลงและขับร้อง แม้จะแผ่วเบา แต่ก็แน่วแน่ เปี่ยมด้วยสมาธิและความสงบ เป็นการเปล่งเสียงอันเกิดจากวัตรปฏิบัติอันต่อเนื่องของบรรดาภิกษุและภิกษุณี หรือคณะ “สังฆะ” (กลุ่มปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่านติช นัท ฮันห์) จากหมู่บ้านพลัมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และในระหว่างการขับร้องเพื่อสติครั้งนี้ คณะสังฆะได้เคลื่อนไหวมือของท่านเพื่อเป็นการสร้างสมาธิ นับเป็นภาพและบรรยากาศที่น้อยคนนักจะได้เคยพบเห็นหรือเข้าร่วมกิจกรรมเช่นนี้มาก่อน 

ภิกษุณีที่นำการขับร้องกล่าวต่อผู้คนจำนวนนับพัน ทั้งในอาคารลุมพินีสถาน สวนลุมพินี และบริเวณรอบๆ ว่า ขอให้ทุกคนมีสมาธิและรับรู้ตลอดลมหายใจเข้าและลมหายใจออกของเราเอง พร้อมกับตีระฆังสามครั้งเพื่อให้จังหวะ และบอกให้ทุกคนได้รู้ว่าเมื่อคนเรามีสมาธิกับลมหายใจ รู้ตัวตลอดเวลา สติก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และกระแสของธรรมะก็ได้แผ่ออกไปพร้อมกับจังหวะเคาะระฆังสามครั้งนี้ 

“...(1) ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก 

ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก 
ดั่งดอกไม้บาน 
ภูผาใหญ่กว้าง ดั่งสายน้ำฉ่ำเย็น 
ดังนภากาศ อันบางเบา 

Breathing in,Breathing out 
I am blooming as a flower 
I am fresh as the dew 
I am solid as a mountain 
I am firm as the earth 
I am free. 

Breathing in,Breathing out 
I am water reflecting 
What is real, what is true 
And I feel there is space 
Deep inside for me 
I am free,I am free,I am free. 

“... (2) เราเป็นสุขในปัจจุบัน 

เราเป็นสุขในปัจจุบัน 
เราได้ปล่อยวางความกังวล 
ไม่ไปที่ไหน 
ไม่มีงานใด 
เราจึงไม่ต้องรีบเร่ง 
เราเป็นสุขในปัจจุบัน 
เราได้ปล่อยวางความกังวล 
ต้องไปที่ไหน จะมีงานใด 
แต่เราก็ไม่ต้องรีบเร่ง 

Happiness is here and now 

I have dropped my worries, 
Nowhere to go, 
Nothing to do, 
No longer in a hurry 
Happiness is here and now, 
I have dropped my worries, 
Somewhere to go, 
Something to do, 
But not in a hurry.” ฯลฯ 

หลังจากภิกษุและภิกษุณีจากหมู่บ้านพลัม เมืองบอร์กโดซ์ ประเทศฝรั่งเศส ร่วมกันขับขานบทเพลงแห่งสติแล้ว ก็เป็นเวลาที่ท่านติช นัท ฮันห์ พระมหาเถระในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานนิกายเซน ชาวเวียดนาม แสดงปาฐกถาธรรมเรื่อง “สู่ศานติสมานฉันท์ : ความสุขอันเป็นหนึ่งเดียวในครอบครัวและสังคม” 

ท่านติช นัท ฮันห์ แสดงปาฐกถาธรรมด้วยใบหน้าอิ่มเอิบผ่องใสตอนหนึ่งว่า “เมื่อร่างกายตึงเครียดใจก็หงุดหงิดง่าย เกิดการแสดงออกต่อคนในครอบครัวและคนรอบข้าง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องการตระหนักรู้ให้มนุษย์จัดการอารมณ์ตัวเอง เมื่อพลังแห่งความโกรธผุดขึ้นมาก็ต้องหาพลังแง่บวกมาจัดการ คือ พลังแห่งสติ จึงควรทำทุกอย่างอย่างมีสติ เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งสติเจริญเติบโตก็จะดูแลความเจ็บปวดและความรู้สึกต่างๆ เมื่อปฏิบัติเช่นนั้นได้ ก็ช่วยคนในครอบครัวปลดปล่อยความตึงเครียดได้ เมื่อเรากลับมาดูแลสันติในตัวเราก็เป็นการง่ายที่จะเชิญผู้อื่นให้มีสันติ ความโกรธและความหงุดหงิดก็จะเกิดขึ้นได้ยาก” 

นานเพียงไรแล้วที่เราห่างไกลจากธรรมะด้วยข้ออ้างและบรรยากาศต่างๆ นานาอันเชื้อเชิญให้เราเพลิดไปกับสิ่งต่างๆ โดยบางคราเราได้หลงลืมตัวตน หลงลืมวันเวลาโดยเฉพาะปัจจุบันขณะที่เราสามารถเรียกสติคืนกลับมาและมีความสุขด้วยจิตใจที่สงบ ไม่ว่าโลกจะเคลื่อนไหวไปด้วยบรรยากาศหรือสภาพการณ์ใดๆ นับเป็นโอกาสอันดีที่เราได้มานั่งพร้อมเพรียงกันกับสาธุชนคนอื่นๆ นับพันคนภายในลุมพินีสถานกลางเมืองกรุงในบรรยากาศอันแสนรุ่มร้อนของเมืองและโลกภายนอก แต่ภายในห้องกลับสงบร่มเย็นราวกับอยู่ในวิหารแห่งความเมตตา 

“ถ้าหากเราสามารถติดตามลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้าเรารู้ตัวว่าเราอยู่ที่นี่ มีสติตลอดเวลา หายใจออกเราส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับตัวเอง เพื่อเป็นการเชื่อมต่อระหว่างกายกับจิตของเราเอง ให้กายกับใจของเราสามารถที่จะสื่อสารกันได้ คุณสมบัติในการที่จะสื่อสารกันได้นี้ได้สูญหายไปจากยุคสมัยปัจจุบัน ทำให้คนเราเกิดความไม่ไว้วางใจกันและไม่มีความสุขสงบทางจิตใจ แต่ถ้าเราสามารถกระทำผ่านบุคคลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคู่รักหรือคนในครอบครัว ฝึกที่จะรับฟังและได้ยินสิ่งที่เขาบอกเล่าอยู่ต่อหน้าเราในขณะนั้น ก็จะเกิดความสุขสงบขึ้นในสังคมของเรา การปฏิบัติไปสู่หนทางแห่งสติและการรู้ตัวทั่วพร้อมนั้น เราไม่จำเป็นต้องไปที่โบสถ์ หรือเข้าวัดเพื่อที่จะเจริญสติ แต่ทำที่ไหนก็ได้ ในปัจจุบันที่เรารู้ตัวแค่การกำหนดลมหายใจเข้าออกแบบอาณาปาณสติ ตามพระสูตรในพุทธศาสนาที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มอบไว้ให้เรา แม้เวลาจะผ่านไปนาน 2,600 ปี แต่ก็ยังนำมาประยุกต์ใช้ได้ดีและยังใช้ได้จริงในยุคสมัยนี้”

ภิกษุณีนิรามิสา 

พอแดดร่มลมตกก็ถึงช่วงของการเดินวิถีแห่งสติ 

ท่านติช นัท ฮันห์ พร้อมด้วย พระครูใบฎีกาพิทยา ฐานิสสโร, ภิกษุณีนิรามิสา และภิกษุ-ภิกษุณีแห่งหมู่บ้านพลัมรูปอื่น เป็นผู้นำชาวไทยและชาวต่างชาติ “เดินสมาธิ” รอบสวนลุมพินี เป็นการเดินอย่างช้าๆ สัมผัสผืนดินผืนหญ้า แต่ละก้าวให้ตระหนักรู้ว่ากำลังสัมผัสแผ่นดินผู้ให้กำเนิด...เป็นแผ่นดินอันงดงาม และตระหนักรู้ถึงธรรมชาติรอบตัว ทำให้มองเห็นความมหัศจรรย์ของชีวิต และมีสันติภาพในทุกย่างก้าว 

เมื่อการเดินวิถีแห่งสติสิ้นสุดลง ความปีติก็งอกงามขึ้นในใจของใครหลายคน เพราะอย่างน้อยท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมโลกทุนนิยม-บริโภคนิยมในปัจจุบัน ยังมีสิ่งที่เรียกว่า “สติ” ช่วยเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ให้หลงทาง 

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านติช นัท ฮันห์ ฝึกการเจริญสติ และแสดงปาฐกถาธรรมเกี่ยวกับ “สันติ” แก่ผู้คนโดยไม่เลือกชาติศาสนา แต่ท่านได้กระทำเช่นนี้มานานต่อเนื่องหลายสิบปี 

ติช นัท ฮันห์ สอนนักการเมือง 

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2550 ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ ถ.ราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ มีการประชุมวิชาการชาวพุทธนานาชาติ ครั้งที่ 4 เนื่องในวันวิสาขบูชาโลก ประจำปี 2550 ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ซึ่งประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ระหว่างวันที่ 26-29 พฤษภาคม 

การประชุมในวันนี้เป็นวันที่ 3 พระสงฆ์ผู้นำชาวพุทธจาก 61 ประเทศ เข้าร่วมงาน โดยในช่วงเช้าเวลา 08.30 น. เริ่มต้นด้วยพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา จากนั้นได้มีการกล่าวสุนทรพจน์และอ่านสารจากประมุขสงฆ์และผู้นำองค์กรทางพระพุทธศาสนาจากประเทศต่างๆ อาทิ ไต้หวัน ญี่ปุ่น พม่า เนปาล เป็นต้น

ท่านติช นัท ฮันห์ ขณะเข้าร่วมประชุมชาวพุทธนานาชาติ เนื่องในวันวิสาขบูชาโลก 2550 
ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ ถ.ราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร 


ท่านติช นัท ฮันห์ นักบวชนิกายเซน ผู้นำคณะสงฆ์หมู่บ้านพลัม ประเทศผรั่งเศส แสดงปาฐกถาธรรมเรื่อง “พระพุทธศาสนากับธรรมาภิบาลและการพัฒนา” มีใจความว่า 

“ความหมายที่แท้จริงของการพัฒนาประเทศ และการปกครอง ควรนำไปสู่ความสุขที่แท้จริงโดยไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไขว่คว้าหาอำนาจ ชื่อเสียง เงินทอง และเรื่องทางเพศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำลายตัวเอง ครอบครัว ชุมชนและประเทศชาติ โดยเฉพาะผู้นำทางเศรษฐกิจและผู้นำทางการเมือง อาจจะใช้อำนาจที่มีอยู่ในทางที่ผิดได้ และเป็นผลเสียต่อประเทศชาติด้วย หากไม่มีอำนาจทางจิตวิญญาณ ซึ่งพลังอำนาจทางจิตวิญญาณนั้นสามารถฝึกได้ในทางพระพุทธศาสนา 

นอกจากนี้ ยังรวมถึงการฝึกปฏิบัติบนหนทางแห่งจิตวิญญาณ ฝึกเดินอย่างมีสติ ฝึกลมหายใจอย่างมีสติ ฝึกปฏิบัติในทางศีล 5 จะทำให้ตัวเองมีความสุข ประเทศชาติมีความสุข และแก้ปัญหาทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบสภาผู้แทนราษฎรที่รับฟังกัน ไม่ต่อสู้กันเพื่อความคิดหรือพรรคของตัวเอง รวมทั้งการแก้ปัญญาหาการก่อการร้ายที่เกิดจากความเกลียดชัง การถอนรากถอนโคนนี้จะต้องใช้วิธีฝึกปฏิบัติ มีความรัก ความเมตตา ฟัง เข้าใจ และลดความเข้าใจที่ผิดลงก็จะแก้ปัญหาได้ 

ชีวิตของนักการเมือง นักธุรกิจ มีแต่ความเครียด ความทุกข์ ไม่มีเวลาใช้ชีวิตอย่างลึกซึ้งที่จะดูแลตนเองได้ ในหลายครั้งมักใช้อำนาจในทางที่เสียหาย ทำให้ตนเองและคนรอบข้างมีความทุกข์ เนื่องจากการไม่รู้วิธีการใช้อำนาจที่ถูกต้อง ทางออกในเรื่องนี้คือ จะต้องฝึกเจริญธรรมเพื่อให้เกิดอำนาจทางจิตวิญญาณ 3 ประการ ได้แก่ 

1. การละทิ้ง หรือการตัดออก นักการเมืองหลายคนยังยึดติดกับความอยาก โดยเฉพาะเรื่องของกามารมณ์ บางครั้งทำให้เกิดเสียชื่อเสียง ทำให้ไม่สามารถอยู่บริหารงานทางการเมืองต่อไปได้ 

2. เรื่องปัญญา ต้องรู้จักการเข้าถึงปัญญาด้วยการฟังอย่างลึกซึ้ง การมีปัญญาจะสามารถแปรเปลี่ยนความทุกข์ความสิ้นหวังได้ 

3. พลังแห่งความรัก ความเมตตา ต้องรู้จักการให้อภัย ยอมรับซึ่งกันและกัน เมื่อไม่มีความรักให้กันและกันจะนำมาซึ่งความโกรธ เกลียด และทุกข์ 

ท่านติช นัท ฮันท์ กล่าวต่อไปว่า เมื่อมีเงินทอง มีชื่อเสียง มีอำนาจ เราก็ตกในอยู่ความทุกข์ และใช้อำนาจในทางที่ผิดได้ ถ้าไม่มีอำนาจทางจิตวิญญาณที่ถูกต้อง ในพระพุทธศาสนามีคำสอนที่ช่วยให้นักการเมือง นักธุรกิจมีความสุขได้ ในขณะเดียวกันนักการเมืองยังขาดการฟังที่ลึกซึ้ง แต่ถ้ามีสติและฝึกปฏิบัติอยู่เสมอ ก็จะสามารถฟื้นคืนการสื่อสารที่ดีกลับมาได้ ซึ่งจะสามารถทำให้ทำงานเดียวกัน พรรคการเมืองเดียวกัน รวมทั้งเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของเขา ให้เป็นสถานที่แห่งความสุข และความกรุณาได้ รวมถึง การแก้ปัญหาการก่อการร้ายที่เกิดจากความเกลียดชัง การถอนรากถอนโคนนี้จะต้องใช้วิธีฝึกปฏิบัติ มีความรัก ความเมตตา ฟัง เข้าใจ และลดความเข้าใจที่ผิดลงก็จะแก้ปัญหาได้ อยากให้ทุกคนปฏิบัติตามศีล 5 หลีกเลี่ยงประพฤติผิดในกาม เสพสื่อลามกอนาจาร ปกป้องการละเมิดทางเพศต่อเด็กและเยาวชน หลีกเลี่ยงผลิตสื่อแห่งความรุนแรง เราควรมีกฎหมายห้ามผลิตสิ่งบริโภคและสื่อรุนแรงทุกอย่าง เพราะหากทุกคนบริโภคสิ่งเหล่านี้จะไม่มีความสุข”

ท่านติช นัท ฮันห์ กับ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน 
ณ หมู่บ้านพลัม (Plum Village) เมืองบอร์กโดซ์ ประเทศฝรั่งเศส 

คัดลอกจาก : ลานธรรมจักร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม