บันทึกจากปาฐกถาธรรม "สู่ศานติสมานฉันท์ : ความรักอันไม่แบ่งแยก"
วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2550 ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยโดย สุภัทร สิริวงษ์
การอยู่ด้วยกันไม่ใช่เป็นเพราะเราอยู่บ้านเดียวกัน ไม่ใช่เพราะว่าเราเป็นพุทธศาสนิกชนเหมือนกัน เราจึงสามารถรักกันได้ เพราะชาวพุทธ ด้วยกันทะเลาะกันก็มี และไม่ใช่ว่าชาวปาเลสไตน์กับอิสราเอลจะอยู่ร่วมกันไม่ได้
ในหมู่บ้านพลัมเราได้เคยนำชาวปาเลสไตน์กับชาวอิสราเอล มาปฏิบัติร่วมกัน อยู่ร่วมกันกับพวกเรา ในช่วงแรกต่างฝ่ายต่าง ก็ไม่เชื่อถือกัน ทั้งสองต่างก็มีความกลัว ความเกลียด ความระแวงสงสัย ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถมองหน้ากันและกันได้ ในช่วงแรก เราให้ทั้ง 2 ฝ่าย ปลดปล่อย ความตึงเครียดด้วยการอยู่กับลมหายใจ มีสติในการเดินและการนั่ง เพื่อตระหนักรู้ในความทุกข์ และ ความเจ็บปวด
ในสัปดาห์ที่ 2 เราเปิดโอกาสให้เขาได้ฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening) ใช้วาจาแห่งสติ วาจาแห่ง ความรัก เพื่อให้เขาได้รับฟังความทุกข์ ความยากลำบากของอีกฝ่าย นำความโกรธ ความกลัว มาบอกเล่าว่าเขาระแวงสงสัยอะไรบ้าง การฟังอย่างกรุณาจะช่วยให้อีกฝ่ายมีความทุกข์น้อยลง
มีผู้คนมากมายที่มีความทุกข์ใหญ่หลวงแต่ไม่มีใครฟังเขาอย่างลึกซึ้ง นั่นจึงเป็น เหตุผลว่า ทำไมเขาจึงต้องหันไปหานักจิตบำบัด เพื่อหาใครสักคนที่จะรับฟังเขาอย่าง ลึกซึ้ง การฟังอย่างลึกซึ้งจะช่วยให้อีกฝ่ายระบายความทุกข์ออกมา การฟังอย่างลึกซึ้งมี จุดมุ่งหมายเพียงประการเดียวคือ เพื่อปลดปล่อยให้อีกฝ่ายมีความทุกข์น้อยลง การฟัง อย่างลึกซึ้งคือความเมตตา กรุณา เราควรบ่มเพาะความเมตตากรุณาในสวนแห่งจิตใจ ของเราเสมอ
เราจะไม่หยุดคำพูดของเขา ไม่สวนกลับ ไม่โกรธ เราจะฟังอย่างนิ่งสงบ เราจะยัง ไม่พูดว่าเธอผิด แม้ว่าเราจะรู้ว่าเขาพูดผิด เขามีข้อมูลที่ผิด เราจะยังไม่แก้ไขสิ่งเหล่านั้น ทันที แต่จะรออยู่ สัก 2-3 วัน จึงค่อยแก้ไขข้อผิดพลาด เพราะในระหว่างการฟัง อารมณ์ ของเราอาจยังไม่ปราณีตแยบคายเพียงพอ ฉะนั้นในช่วงท้ายของการฟังอย่างลึกซึ้ง เราอาจกล่าวขอโทษอีกฝ่ายก็ไม่มีอะไรเสียหาย ในขณะที่เราพูด เราอาจรู้ว่าแท้จริงแล้ว เราก็ผิดด้วย เราเองก็อาจมีความคิดเห็นที่ผิด จึงแสดงปฏิบัติกิริยาที่ไม่ดีต่ออีกฝ่าย เรา อาจจะขอบคุณอีกฝ่าย ที่เขาบอกเล่าถึงความทุกข์ของเขาให้เราได้รับรู้
แม้ว่าในขณะนั้นเราสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงได้ แต่เราจะใช้เวลาอีก 2-3 วัน จึงจะ บอกเล่า เราไม่ควรพยายามยืนยันข้อมูลทันที ในช่วงที่อีกฝ่ายยังไม่สามารถรับข้อมูลได้ แม้เราจะรู้ว่าข้อมูลที่เขาพูดมานั้นผิดทั้งหมด ความเป็นจริงนั้นเปรียบเสมือนยาที่ดี แต่การ ให้ยาดีมีประสิทธิภาพสูง ก็ต้องรู้ว่าคนไข้มีความสามารถรับยาได้ในปริมาณแค่ไหน การให้ยาที่ดีมากเกินไปในคราวเดียว ก็เปรียบเสมือนการให้ยาที่มากเกิน (over doze) คนไข้อาจตายได้ เช่นเดียวกัน บางทีการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ก็ต้องมีการตระเตรียม เราจะ ไม่พูดออกไปครั้งเดียวทั้งหมด เราต้องค่อยๆ กล่าว การฟังอย่างมีสติ จะทำให้สองฝ่าย ค่อยๆ เข้าใจกัน เมื่อแต่ละฝ่ายเห็นความทุกข์ของกันและกัน ก็จะช่วยปลดปล่อยความ โกรธ เกลียด ที่มีต่อกันได้ และสามารถมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแห่งความกรุณา โดยมี ความเข้าใจเป็นพื้นฐาน สิ่งเหล่านี้ ชาวปาเลสไตน์และอิสราเอลปฏิบัติได้
ในช่วงวันสุดท้าย เราให้แต่ละฝ่ายขึ้นเวทีเพื่อรายงานผลของการฝึกปฏิบัติ ซึ่ง แต่ละฝ่ายทำได้อย่างดี และสิ่งเหล่านี้พวกเราทุกคนก็สามารถฝึกปฏิบัติได้ มิใช่เพียง ชาวปาเลสไตน์ และ อิสราเอลเท่านั้น
--------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : http://www.thaiplumvillage.org/act500529_news04.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น