วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บทพระสูตร : พระสูตรเกี่ยวกับความสุขและความเป็นหนุ่มสาว


บทพระสูตร : พระสูตรเกี่ยวกับความสุขและความเป็นหนุ่มสาว

         ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้ยินคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งพระพุทธองค์ ยังคงประทับอยู่ ณ วัดป่าไผ่ ใกล้เมืองราชคฤห์ ณ ขณะนั้นได้มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ผู้ซึ่งชอบ ตื่นมาแต่เช้าทุกๆ วัน ท่านเดินไปริมฝั่งแม่น้ำ ท่านปลดจีวรของท่านไว้บนฝั่ง และลงไปสรงน้ำ หลังจากสรงน้ำเสร็จแล้ว ท่านขึ้นจากแม่น้ำ รอจนกระทั่งร่างกายของท่านแห้ง ในเวลาเดียวกัน นั้นเอง เทพธิดาได้ปรากฏกายขึ้น ร่างกายของเธอล้อมรอบไปด้วยแสงสว่างไสว ฉาดฉาย ไปทั่วฝั่งแม่น้ำ และเทพธิดานั้นได้กล่าวกับพระภิกษุว่า

         "ท่านเพิ่งจะเป็นพระภิกษุมาไม่นาน ผมของท่านยังเป็นสีดำ ท่านเป็นหนุ่มอายุยังน้อย ในช่วงเวลาอายุขณะนี้ ทำไมท่านจึงไม่ประดับประดาตัวท่านด้วยเครื่องหอม เพชรพลอย และ รื่นรมย์ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส? ทำไมจึงได้ละทิ้งคนรักและหันหลังให้กับชีวิตทางโลก อย่างโดดเดี่ยว ท่านได้ปลงผม โกนหนวด นุ่งห่มจีวร และศรัทธาในวิถีการปฏิบัติแบบนักบวช? ทำไมท่านถึงได้ละทิ้งความสุขทางโลกในปัจจุบันขณะ เพื่อที่จะหาความสุขเบิกบานในอนาคต อันยาวไกล?"

         พระภิกษุรูปนั้นตอบว่า "อาตมามิได้ละทิ้งความสุขในปัจจุบันขณะ เพื่อที่จะหาความสุข ความยินดี ในอนาคตอันยาวไกล อาตมาได้ละทิ้งความสุข ความยินดี ทางโลกซึ่งมิใช่ความสุขที่แท้จริง"

 เทพธิดาได้ถามขึ้นอีกว่า "ท่านหมายความว่าอย่างไร?"

         พระภิกษุรูปนั้นได้ตอบว่า "พระพุทธองค์ได้ทรงสอนว่า ความสุขทางโลกที่เปี่ยมไปด้วยความอยาก เป็นความสุขที่มีความหอมหวาน เพียงเล็กน้อย แต่มีความขมขื่นมหาศาล มีประโยชน์น้อยนิด แต่จะนำพาเราไปสู่ความหายนะ ในขณะนี้เราได้ดำรงอยู่ในพระธรรมซึ่ง สามารถหาได้ ณ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เราผู้ซึ่งได้เผาไฟแห่งกิเลส พระธรรมนั้นเกิดขึ้นได้เฉพาะในปัจจุบันขณะ อยู่นอกเหนือกาลเวลา เชื้อเชิญ เราให้เข้ามา และเห็นได้ด้วยตัวเองเสมอ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราตระหนักรู้ เข้าใจ มีประสบการณ์ด้วยตนเอง ตามแต่ละบุคคล นั่นคือ ความหมายของการละทิ้งความสุขทางโลกอันมีประโยชน์น้อยนิด เพื่อที่จะเข้าหาความสุขสงบ อันลึกซึ้งของปัจจุบันขณะ"

         เทพธิดาได้ถามพระภิกษุอีกว่า "ทำไมพระพุทธองค์จึงกล่าวว่าความสุขทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันมีไม่จำกัดนี้ จึงมีความ หอมหวานเพียงเล็กน้อย และมีความขมขื่นมหาศาล มีประโยชน์น้อยนิด แต่จะนำพาเราไปสู่ความหายนะ? ทำไมพระพุทธองค์ถึงกล่าวว่า ถ้าเราดำรงอยู่ในพระธรรมซึ่งสามารถหาได้ ณ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เราจะสามารถตัดไฟแห่งกิเลสที่เผาผลาญตัวเรา? ทำไมพระพุทธองค์ถึง กล่าวว่า พระธรรมนั้นเกิดขึ้นได้เฉพาะในปัจจุบันขณะ อยู่นอกเหนือกาลเวลา เชื้อเชิญเราให้เข้ามา และเห็นได้ด้วยตัวเองเสมอ มันเป็นสิ่ง ที่ทำให้เราตระหนักรู้ เข้าใจ มีประสบการณ์ด้วยตนเอง ตามแต่ละบุคคล?"

         พระภิกษุได้ตอบว่า "อาตมาบวชมาเพียง ๒ ปี ไม่มีทักษะในการอธิบายให้เธอได้เข้าใจถึงคำสอนที่แท้จริง และศีลอันประเสริฐที่ พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ พระพุทธองค์ได้ทรงประทับอยู่ในป่าไผ่ใกล้ๆ นี้ ทำไมเธอไม่เดินทางไปพบและถามพระพุทธองค์ด้วยตัว ของเธอเอง พระตถาคตจะให้ข้อธรรมะที่ถูกต้อง และเธอก็จะได้ฝึกปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์"

         เทพธิดาได้ตอบพระภิกษุว่า "ในขณะนี้ พระตถาคตรอบล้อมไปด้วยพลังของเหล่าเทพธิดา และเทวดาทั้งหลายที่มีอิทธิพลอย่างยิ่ง มันจะยากมากสำหรับตัวฉันเองที่จะมีโอกาสได้ใกล้ชิด และถามคำถามเกี่ยวกับพระธรรมคำสั่งสอน ถ้าท่านสามารถที่จะถามคำถามเหล่านี้ แทนตัวฉัน ฉันก็จะไปกับท่านด้วย"

         พระภิกษุตอบ "อาตมาจะช่วยเหลือเธอ"
         เทพธิดาตอบว่า "พระคุณเจ้า ฉันจะติดตามท่านไป"

         พระภิกษุได้เดินทางไปสถานที่ที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ และได้ก้มกราบสัมผัสพื้นดินต่อหน้าพระพุทธองค์ ถอยออกมาเล็กน้อย และนั่งลงอยู่ด้านข้างพระพุทธองค์ พระภิกษุได้บอกเล่าเกี่ยวกับคำสนทนาที่ท่านได้คุยกับเทพธิดา และกล่าวขึ้นว่า "พระพุทธองค์ ถ้าเทพธิดาตนนี้พูดด้วยความไม่จริงใจ เทพธิดารูปนี้ก็จะไม่อยู่กับข้าพระองค์ด้วย ณ ที่นี้" และในขณะนั้นก็มีเสียงมาจากที่ไกลแสนไกล ดังขึ้นว่า "พระคุณเจ้า ฉันอยู่นี่ ฉันอยู่นี่"

         ในทันทีทันใดนั้น พระพุทธองค์ก็ได้มอบคาถานี้
         "เมื่อเราได้สร้างความคิดเห็นที่ผิดเกี่ยวกับวัตถุที่เราปรารถนา นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราถูกยึดติดในความปรารถนานั้น เพราะว่า บุคคลนั้นไม่รู้ว่า ความปรารถนาที่แท้จริงนั้นคืออะไร และเขาก็ได้เดินทางต่อไปในหนทางแห่งความตาย"
         พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสถามเทพธิดาตนนั้นว่า "เธอเข้าใจในคาถานี้ไหม ถ้าไม่เข้าใจได้โปรดตอบมา"
         เทพธิดาได้ตอบพระพุทธองค์ว่า "หม่อมฉันไม่เข้าใจพระพุทธองค์ หม่อมฉันไม่เข้าใจพระโลกนาถ"

         พระพุทธองค์ ได้กล่าวคาถาอีกบทหนึ่งแก่เทพธิดา
         "เมื่อเธอรู้ดีถึงธรรมชาติที่แท้จริงของความอยาก จิตใจแห่งความอยากก็จะไม่เกิดขึ้น เมื่อเธอไม่มีความอยาก และไม่มีความคิดเห็น เกิดขึ้นบนความอยากนั้น ในขณะนั้นก็จะไม่มีใครสามารถมาล่อลวง เย้ายวนเธอได้"
         พระพุทธองค์ได้ตรัสถามเทพธิดาตนนั้นว่า "เธอเข้าใจในคาถานี้ไหม ถ้าไม่เข้าใจได้โปรดตอบมา"
         เทพธิดาได้ตอบพระพุทธองค์ว่า "หม่อมฉันไม่เข้าใจพระพุทธองค์ หม่อมฉันไม่เข้าใจพระโลกนาถ"

         พระพุทธองค์ ได้กล่าวคาถาอีกบทหนึ่งแก่เทพธิดา
         "ถ้าเธอคิดว่า เธอยิ่งใหญ่กว่า ต่ำต้อยกว่า หรือเท่าเทียมกับคนอื่น เธอก็จะเกิดความเปรียบเทียบ เมื่อเธอสามารถตัดปมทั้งสามนี้ได้ เธอจะได้พบความสุขสงบในจิต"
         พระพุทธองค์ได้ตรัสถามเทพธิดาตนนั้นว่า "เธอเข้าใจในคาถานี้ไหม ถ้าไม่เข้าใจได้โปรดตอบมา"
         เทพธิดาได้ตอบพระพุทธองค์ว่า "หม่อมฉันไม่เข้าใจพระพุทธองค์ หม่อมฉันไม่เข้าใจพระโลกนาถ"

         พระพุทธองค์ ได้กล่าวคาถาอีกบทหนึ่งแก่เทพธิดา
         "เมื่อดับสิ้นซึ่งความอยาก ข้ามพ้นซึ่งปมทั้งสาม จิตของเราจะนิ่งสงบ เราจะหมดความต้องการที่จะไขว่คว้าอยากได้หามาอีก เราจะ ละวางซึ่งกิเลส ความเศร้า และความเสียใจทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า"
         พระพุทธองค์ได้ตรัสถามเทพธิดาตนนั้นว่า "เธอเข้าใจในคาถานี้ไหม ถ้าไม่เข้าใจได้โปรดตอบมา"
         เทพธิดาได้ตอบพระพุทธองค์ว่า "หม่อมฉันเข้าใจแล้วพระพุทธองค์ หม่อมฉันเข้าใจแล้วพระโลกนาถ"

         พระพุทธองค์ได้จบสิ้นการสั่งสอน เทพธิดาเปี่ยมไปด้วยความ ปิติยินดีในสิ่งที่เธอได้รับฟัง และปฏิบัติตามคำสอนเหล่านั้น เธอได้ หายไป และไม่มีผู้ใดเห็นเธออีกเลย ๐

--------------------------------------------------------------------------------------
จาก สมิทธิสูตร พระไตรปิฎกบาลี
        สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
คัดลอกจาก : http://www.thaiplumvillage.org/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม