วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กุหลาบประดับดวงใจ


ติช นัท ฮันห์ เขียน
รสนา โตสิตระกูล แปล

           แม่ในความคิดคำนึงไม่อาจแยกขาดจากคำว่า "รัก" ได้ รักนั้นฉ่ำหวาน อ่อนละมุนและโอชารสปราศจากรัก เด็กน้อยไม่อาจเติบใหญ่ ผู้ใหญ่ไม่อาจเข้าถึงวุฒิภาวะ ปราศจากรัก เราจะอ่อนแอและเหี่ยวเฉา

          วันที่แม่ของฉันตาย ฉันได้บันทึกจุดเริ่มนี้ในสมุดบันทึกของฉันว่า "ความโชคร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉันได้มาถึงแล้ว !" แม้แต่ผู้สูงอายุก็จะรู้สึกไม่พร้อมเมื่อเขาสูญเสียแม่ เขาจะรู้สึกเช่นเดียวกันว่าเขายังไม่โตพอ และรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างทันทีทันใด เขารู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งและโศกเศร้าเช่นเดียวกับลูกกำพร้าผู้อ่อนเยาว์

          ลำนำเพลงและบทกวีทั้งหลายที่สรรเสริญความเป็นแม่นั้นช่างงดงาม เป็นความงดงามโดยปราศจากความพยายาม แม้นักแต่งเพลงและกวีที่ไม่มีพรสวรรค์มากนัก ก็ดูจะทุ่มเทหัวใจให้กับการแต่งเพลงและบทกวีเพื่อแม่ และเมื่อผลงานเหล่านี้ได้รับการบรรเลงหรือขับกล่อม ผู้เล่นก็จะพลอยรู้สึกซาบซึ้งใจไปด้วย เว้นเสียแต่เขาเหล่านั้น จะสูญเสียแม่ไปตั้งแต่เขายังเล็กมากเกินกว่าจะรับรู้ความรักที่มีต่อแม่นั้น ว่าเป็นอย่างไร บทประพันธ์ที่สรรเสริญคุณความดีของความเป็นแม่นั้น ดำรงอยู่นับแต่จุดเริ่มแห่งกาลเวลา ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันทั่วทุกหนแห่งในโลก

          เมื่อฉันยังเป็นเด็ก เคยได้ยินบทกวีพื้น ๆ เกี่ยวกับการสูญเสียแม่ และมันยังคงเป็นบทกวีที่สำคัญต่อฉันยิ่งนัก หากแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ เธออาจจะรู้สึกอ่อนโยนต่อท่านทุกครั้งที่ได้อ่านข้อเขียนนี้ และหวาดเกรงสิ่งที่ยังอยู่ห่างไกลนี้ว่าเป็นเหตุการณ์อันหลีกเลี่ยงมิได้

          ปีนั้น แม้ว่าฉันจะยังเด็กมาก แม่ก็ลาจากฉันไปและฉันก็ประจักษ์ว่าฉันเป็นลูกกำพร้า ทุกคนรอบตัวฉันต่างพากันร่ำไห้ ส่วนฉันทุกข์ระทมอยู่ในความเงียบ..

          เมื่อปล่อยให้หยาดน้ำตาหลั่งไหลออกมา ฉันรู้สึกว่าความเจ็บปวดนั้นเบาบางลง สนธยาห่อหุ้มฮวงซุ้ยของแม่ เสียงระฆังจากโบสถ์ดังแว่วหวาน

          ฉันได้ประจักษ์ว่าการสูญเสียแม่คือการสูญเสียจักรวาลทั้งมวล

          เราแหวกว่ายอยู่ในโลกแห่งรักอันอ่อนละมุนเป็นเวลาหลายสิบปี เรามีความสุขอยู่ที่นั่น โดยมิได้ตระหนักรู้แม้แต่น้อย แต่กว่าจะรู้ทุกอย่างก็สายเกินไป

          ผู้คนในชนบทไม่เข้าใจภาษาอันซับซ้อนของคนเมือง เมื่อคนเมืองกล่าวว่า แม่คือ "คลังสมบัติแห่งรัก" คำพูดเช่นนี้ซับซ้อนเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้ คนชนบทในเวียดนามเปรียบเทียบแม่ของเขากับกล้วยพันธุ์ดีที่สุด หรือเปรียบเทียบกับน้ำผึ้ง ข้าวหอมหรืออ้อย เขาแสดงออกเกี่ยวกับความรักของเขา ด้วยวิธีธรรมดาและตรงไปตรงมาสำหรับฉัน แม่เปรียบได้กับกล้วยบาเฮืองชนิดดีที่สุด หรือข้าวหอมเน็บเหมยที่ดีที่สุด หรืออ้อยเหมียหลุ่ยที่หวานอร่อยที่สุด



          คงมีสักครั้งที่เธอสร่างไข้ มีความรู้สึกขมในปากและไม่อยากอาหาร เมื่อแม่ของเธอเข้ามาห่มผ้าให้ ท่านดึงผ้าห่มมาจรดที่คางอย่างแผ่วเบา วางมือลงแตะหน้าผากที่ร้อนเป็นไฟของเธอ (นั่นคือมือจริง ๆ หรือว่าเป็นใยไหมอันอ่อนนุ่มจากสรวงสวรรค์กันหนอ) พร้อมกับกระซิบอย่างอ่อนโยนว่า "ลูกที่น่าสงสารของแม่ !" เธอรู้สึกดีขึ้นบ้างไหมเมื่อถูกแวดล้อมด้วยความอ่อนหวานจากความรักของแม่ ความรักของท่านช่างหอมหวานจากความรักของแม่ ความรักของท่านช่างหอมหวานประดุจดังกล้วยรสดี ข้าวหอมละมุน และอ้อยอันโอชารส

          งานของพ่อนั้นมากมายและยิ่งใหญ่ประดุจขุนเขา ความรักของแม่นั้นท่วมท้นดุจสายน้ำจากน้ำพุบนภูเขา รักของแม่คือรักแรกที่เรารู้จัก เป็นต้นกำเนิดแห่งความรู้สึกรักทั้งปวง แม่ของเราคือครูคนแรกที่สอนเราเกี่ยวกับรัก ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต ปราศจากแม่ ฉันไม่มีวันจะได้รู้จักวิธีที่จะรัก นึกขอบคุณท่านที่สอนให้ฉันรู้จักรักเพื่อนบ้าน นึกขอบคุณท่านที่ช่วยให้ฉันรู้จักรักสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ความคิดแรกเกี่ยวกับความเข้าใจและความรัก ความกรุณา เป็นสิ่งที่ฉันได้จากท่านแม่เป็นรากฐานของรักทั้งปวง และมีประเพณีทางศาสนาจำนวนมากที่ตระหนักรู้ในสิ่งนี้ และให้เกียรติอย่างลึกซึ้งต่อสัญลักษณ์ของความเป็นแม่ อันได้แก่ พระแม่มารี เจ้าแม่กวนอิม มีน้อยนักที่เด็กจะร้องโดยปราศจากแม่ที่รีบวิ่งมาที่เปล แม่คือจิตอันอ่อนโยนและอ่อนหวาน ผู้ทำให้ความโศกเศร้าและความวิตกกังวลปลาสนาการไป เมื่อคำว่า "แม่" ถูกเปล่งออกมา เราจะรู้สึกได้ถึงหัวใจที่ท่วมท้นด้วยความรัก จากความรักนี่เองที่ทำให้ช่องว่างระหว่างความเชื่อ และการกระทำเหลือน้อยอย่างยิ่ง

          ในตะวันตก เราฉลองวันแม่ในเดือนพฤษภาคม ฉันมาจากชนบทในประเทศเวียดนาม และฉันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับประเพณีนี้มาก่อน วันหนึ่งฉันกับพระเทียนอันไปเยือนย่านกินซ่าในเมืองโตเกียว และเราก็พบกับเด็กนักเรียนญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนของพระเทียนอันที่หน้าร้านหนังสือ นักเรียนสาวคนหนึ่งในกลุ่มกระซิบถามท่านคำถามหนึ่ง และหลังจากนั้นก็หยิบดอกคาร์เนชั่นสีขาว จากกระเป๋าของเธอมากลัดไว้ที่เสื้อของฉัน ฉันรู้สึกประหลาดใจและเขินเล็กน้อย ฉันไม่รู้ว่าการแสดงออกเช่นนั้นมีความหมายอะไร และฉันก็ไม่กล้าถาม ฉันพยายามทำท่าเป็นธรรมชาติ โดยนึกเสียว่าคงจะเป็นประเพณีท้องถิ่นอะไรสักอย่าง เมื่อเขาคุยกันเสร็จแล้ว (ฉันพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้) เทียนอันกับฉันก็เข้าไปในร้านหนังสือ เขาบอกฉันว่าวันนี้คือวันแม่ ในญี่ปุ่นหากแม่ของคุณยังมีชีวิตอยู่ คุณจะติดดอกไม้แดงที่กระเป๋าหรือที่ปกเสื้อ และภูมิใจที่ตนเองยังมีแม่อยู่ หากท่านหาชีวิตไม่แล้ว คุณก็จะติดดอกไม้สีขาวที่เสื้อ ฉันมองดูดอกไม้สีขาวบนเสื้อของฉัน และทันทีทันใดฉันก็รู้สึกเศร้ามาก มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้าที่เศร้าโศกมากพอ ๆ กับเด็กกำพร้าคนอื่น ๆ ลูกกำพร้าเช่นเราไม่มีโอกาสได้ติดดอกไม้แดงอย่างภาคภูมิใจอีกต่อไป ผู้ติดดอกไม้สีขาวนั้นรู้สึกเศร้าโศก และไม่อาจหักห้ามความคิดที่หวนไปหาแม่ของเขาได้เลย ผู้ติดดอกไม้สีแดงนั้นเป็นสุขใจ ด้วยรู้ว่าแม่ของตนยังมีชีวิตอยู่ เขาสามารถยังความชุ่มชื่นใจแก่แม่ก่อนที่ท่านจะจากไป ก่อนที่จะสายเกินไป ฉันพบว่านี่เป็นประเพณีอันงดงาม ฉันขอเสนอให้พวกเราในเวียดนาม และในตะวันตกทำในสิ่งเดียวกันนี้ด้วย



          แม่คือต้นธารแห่งรักอันไร้ขอบเขต เป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีวันเหือดแห้ง แต่น่าเสียดายบางครั้ง เราหลงลืมไป แม่คือของขวัญอันงดงามที่สุดที่ชีวิตมอบให้แก่เรา เธอทั้งหลายที่ยังมีแม่อยู่ใกล้ โปรดอย่ารอจนถึงวันตายของท่านที่จะกล่าวว่า "คุณพระช่วย ฉันมีชีวิตอยู่เคียงใกล้แม่ตลอดหลายสิบปีนี้ โดยมิเคยได้มองดูท่านอย่างใกล้ชิดเพียงแต่เหลือบมองดูท่าน พูดด้วยไม่กี่คำ หากไม่ขอเงินก็ขอสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้" เธอนอนชิดใกล้เพื่อรับไออุ่น เธอบึ้งตึงหรือโกรธกับท่าน เธอได้แต่ทำให้ชีวิตท่านสับสน ทำให้ท่านกังวลใจ บั่นทอนสุขภาพของท่าน ทำให้ท่านต้องนอนดึกและตื่นแต่เช้า แม่จำนวนมากตายตั้งแต่ยังสาวเพราะลูก ๆ ของเธอ ตลอดชีวิตของท่านเราคาดหวังให้ท่านทำอาหาร ล้างถ้วยล้างชาม ซักเสื้อผ้า และทำความสะอาดที่เราทำสกปรกเอาไว้ ในขณะที่เราคิดถึงแต่เพียงผลการสอบ และอาชีพของเรา แม่ของเราไม่มีเวลาที่จะมองดูเราอย่างใกล้ชิด ต่อเมื่อท่านจากไป เราจึงตระหนักว่า เราไม่เคยรับรู้ถึงการมีแม่มาก่อนเลย

          ค่ำนี้ เมื่อเธอกลับจากโรงเรียนหรือที่ทำงาน หรือหากเธออยู่ห่างไกลจากแม่ ครั้งต่อไปเมื่อเธอไปเยี่ยมท่าน เธอคงปรารถนาจะเข้าไปในห้องของท่าน นั่งลงใกล้ ๆ ท่านพร้อมด้วยรอยยิ้มที่สงบปราศจากวาจา ไม่ต้องกล่าวคำพูดใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้ท่านหยุดจากงานที่กำลังทำอยู่ หลังจากนั้นมองดูท่านให้นาน ๆ มองดูท่านอย่างลึกซึ้ง ทำเช่นนี้เพื่อจะได้แลเห็นท่าน เพื่อจะได้ตระหนักว่าท่านอยู่ที่นั่น ท่านยังมีชีวิตอยู่ข้าง ๆ เธอ จับมือของท่านและถามคำถามเพื่อดึงความสนใจของท่าน "แม่จ๋า แม่รู้อะไรไหม ?" ท่านจะประหลาดใจเล็กน้อยและอาจจะยิ้มเมื่อท่านถามเธอว่า "มีอะไรหรือลูกรัก ?" ขอให้มองตาท่าน ยิ้มอย่างสงบอ่อนโยน และกล่าวกับท่านว่า "แม่รู้ไหมว่าลูกรักแม่ ?" ถามคำถามนี้โดยไม่ต้องรอคอยคำตอบ แม้ว่าเธอจะอายุถึง ๓๐ หรือ ๔๐ ปี หรือมากกว่านั้น ถามท่านในฐานะของลูก แม่ของเธอ และเธอจะรู้สึกเป็นสุข รับรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ในความรักอันนิรันดร์ และหากวันพรุ่งนี้เมื่อท่านต้องจากเธอไป เธอจะได้ไม่สำนึกเสียใจ



         ในเวียดนาม เมื่อถึงเทศกาลอุลลัมพนะ เราจะได้ฟังนิทานและตำนานเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์เมาทคัลยายนะ* (* เขียนอย่างบาลี จะเป็นโมคคัลลานะ) และเกี่ยวกับความกตัญญูของลูก การงานของพ่อ ความรักของแม่ และหน้าที่ของลูกทุกคนจะอธิษฐานให้พ่อแม่มีอายุยืนนาน หรือหากว่าท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว ก็ขอให้ท่านได้ไปเกิดใหม่ ณ แดนสุขาวดี เราเชื่อกันว่าลูกที่ไม่มีความกตัญญูเป็นคนไม่มีคุณค่า แต่ความกตัญญูก็เกิดจากความรักในตัวของมันเองด้วย ปราศจากความรัก ความกตัญญูก็เป็นพียงสิ่งจอมปลอม เมื่อมีรัก นั่นก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องพูดถึงพันธกรณี การรักแม่ก็เป็นสิ่งเพียงพอแล้วมันไม่ใช่หน้าที่ มันเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ดุจเดียวกับที่เธอดื่มน้ำเมื่อกระหาย เด็กทุกคนจะต้องมีแม่ และเป็นสิ่งธรรมดาที่สุดที่จะรักท่าน แม่ย่อมรักลูก และลูกก็รักแม่ ลูกต้องการแม่ และแม่ก็ต้องการลูก หากแม่ไม่ต้องการลูก และลูกไม่ต้องการแม่ ก็แสดงว่านี่มิใช่แม่และนี่มิใช่ลูก นั่นเป็นการใช้คำว่า "แม่" และ "ลูก" ที่ผิด

          เมื่อฉันเป็นเด็ก ครูคนหนึ่งของฉันถามว่า "เธอจะต้องทำอะไร เมื่อเธอรักแม่" ฉันบอกครูว่า "ฉันต้องเชื่อฟังท่าน ช่วยท่าน ดูแลท่านยามแก่ชรา และสวดภาวนาให้ท่าน ตลอดจนดูแลหิ้งบูชาบรรพบุรุษยามท่านลาจากไปชั่วกาลนาน" มาบัดนี้ฉันรู้ว่าคำว่า "อะไร" ในคำถามของครูเป็นสิ่งเกินจำเป็น ถ้าเธอรักแม่ของเธอ เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไร เธอรักท่าน นั่นก็เพียงพอแล้ว การรักแม่หาใช่เรื่องของศีลธรรมหรือคุณธรรมแต่อย่างใด

          โปรดอย่าคิดว่าฉันเขียนสิ่งเหล่านี้เพื่อสอนศีลธรรมแก่เธอ การรักแม่เป็นเรื่องของการได้รับประโยชน์ แม่เปรียบได้กับบ่อน้ำพุอันใสบริสุทธิ์เปรียบได้กับอ้อยอันแสนโอชารสหรือน้ำผึ้ง เปรียบได้กับข้าวหอมคุณภาพดีที่สุด หากเธอไม่รู้จักวิธีรับประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ ก็นับว่าเป็นความโชคร้ายของเธอ ฉันเพียงแต่ต้องการนำความสนใจของเธอมาสู่สิ่งนี้ เพื่อช่วยให้เธอหลีกเลี่ยงจากการพร่ำบ่นว่า ไม่มีอะไรเหลือในชีวิตอีกแล้วสำหรับเธอ หากของขวัญแห่งการปรากฏอยู่ของแม่ไม่ทำให้เธอพึงพอใจแล้วไซร้ แม้เธอจะได้เป็นถึงผู้อำนวยการของบริษัทใหญ่ หรือกษัตริย์แห่งจักรวาล เธอก็อาจจะไม่รู้สึกพึงพอใจ ฉันรู้ว่า "พระผู้สร้าง" นั้นไม่มีความสุข เพราะพระองค์ทรงเนรมิตองค์ขึ้นเอง และไม่มีโชคที่จะมีแม่ดังเช่นคนอื่น

          ฉันอยากจะเล่าเรื่องให้ฟังสักเรื่อง โปรดอย่าได้คิดว่าฉันเป็นคนไม่มีความคิด มันน่าที่น้องสาวฉันจะไม่แต่งงาน และน่าที่ฉันจะไม่บวช แต่อย่างไรก็ตาม เราทั้งสองต่างต้องจากแม่ไป คนหนึ่งจากไปเพื่อเริ่มชีวิตใหม่เคียงข้างชายที่เธอรัก อีกคนหนึ่งจากไปเพื่อเดินตามอุดมคติของชีวิตที่เขาบูชา คืนที่น้องสาวของฉันแต่งงาน แม่ของฉันกังวลใจกับเรื่องต่าง ๆ นับร้อยนับพันสิ่ง แต่ก็ไม่มีทีท่าเศร้าโศกแม้แต่น้อย แต่เมื่อเรานั่งลงที่โต๊ะอาหารเพื่อรับประทานของว่าง ในขณะรอให้เขยของเรามารับน้องสาว ฉันเห็นว่าแม่ไม่ได้ทานอะไรแม้แต่น้อย ท่านกล่าวว่า "เป็นเวลาถึง ๑๘ ปีที่เธออยู่ร่วมโต๊ะอาหารกับเรา และวันนี้เป็นมื้อสุดท้ายที่เราจะได้ทานร่วมกัน ก่อนที่เธอจะจากไปอยู่ร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวอื่น" น้องสาวของฉันร้องไห้ศีรษะของเธอโค้งลงเหนือจากอาหาร และเธอพูดว่า "แม่จ๋า ลูกจะไม่แต่งงาน" แต่เธอก็แต่งงานไปในที่สุด สำหรับฉัน ฉันจากแม่เพื่อมาบวช การแสดงความยินดีกับผู้ที่ตัดสินใจออกเรือนมาบวช คนมักจะกล่าวว่าผู้บวชคือคนที่เดินตามหนทางแห่งการตรัสรู้ แต่ฉันไม่รู้สึกภาคภูมิใจ ฉันรักแม่ แต่ฉันก็มีอุดมคติด้วย การรับใช้อุดมคตินั้นทำให้ฉันต้องจากแม่มา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรมานใจสำหรับฉัน

          บ่อยครั้งในชีวิตที่เราจำเป็นต้องเลือก ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ทำได้ยาก เราไม่สามารถจับปลาสองมือในเวลาเดียวกัน มันเป็นเรื่องยาก เพราะหากเรายอมรับการเติบโต เราต้องยอมรับความทุกข์ด้วย



          ฉันไม่ได้เสียใจที่จากแม่มาบวช แต่ฉันเสียใจที่ฉันต้องเลือกเช่นนั้น ฉันไม่มีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ จากสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ ทุกคืนฉันสวดภาวนาให้แม่ แต่เป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่ฉันจะได้ลิ้มรสกล้วยบาเฮืองอันแสนวิเศษ ข้าวหอมเน็บเหมยชั้นดี และอ้อยเหมียหลุ่ยที่แสนโอชารส โปรดอย่าได้คิดว่าฉันกำลังแนะนำให้เธอเลิกทำงานอาชีพของเธอ และอยู่แต่ในบ้านเคียงข้างแม่ของเธอ ฉันบอกแล้วว่า ฉันไม่ได้สั่งสอนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องทางศีลธรรม ฉันเพียงแต่ต้องการเตือนใจเธอว่า แม่นั้นเปรียบได้กับกล้วยเนื้อดี ข้าวพันธุ์ดี น้ำผึ้ง และน้ำตาลอันหอมหวาน "ท่านเป็นความอ่อนโยน ท่านคือความรัก ด้วยเหตุนี้ น้องชายและน้องสาวของฉันโปรดอย่าได้หลงลืมท่าน การหลงลืมก่อให้เกิดความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ และฉันหวังว่าเธอจะไม่ประสบกับความสูญเสียเช่นนั้น ไม่ว่าจะจากความเขลา หรือจากการไม่ใส่ใจ ฉันขอติดดอกกุหลาบสีแดงไว้ที่ปกเสื้อของเธอด้วยความยินดี เพื่อให้เธอมีความสุขเพียงเท่านี้"

          หากฉันต้องให้คำแนะนำใด ๆ ฉันก็จะบอกว่าคืนนี้ เมื่อเธอกลับจากโรงเรียนหรือที่ทำงาน หรือคราวหน้าเมื่อเธอกลับไปเยี่ยมแม่เข้าไปในห้องของท่านอย่างเงียบ ๆ พร้อมด้วยรอยยิ้ม นั่งลงข้างกายของท่าน ไม่ต้องกล่าวคำพูดใด แต่ให้ท่านละจากการงานที่กำลังทำ มองดูท่านให้นิ่งนาน มองดูท่านอย่างถี่ถ้วนเพื่อจะได้แลเห็นท่านอย่างชัดเจน เพื่อที่จะได้ตระหนักว่าท่านอยู่ที่นั่น มีชีวิตอยู่ นั่งอยู่ข้างกายของเธอ จากนั้นกุมมือของท่านไว้ และถามคำถามท่านสั้น ๆ ว่า "แม่จ๋า แม่รู้อะไรไหม ?" ท่านจะประหลาดใจเล็กน้อย และจะถามเธอด้วยรอยยิ้มว่า "มีอะไรหรือ ลูกรัก ?" มองดูตาท่านพร้อมด้วยรอยยิ้มที่สงบอ่อนโยน บอกท่านว่า "แม่รู้ไหมว่าลูกรักแม่ ?" ถามท่านด้วยคำถามนี้โดยไม่ต้องรอฟังคำตอบ แม้ว่าเธอจะมีอายุ ๓๐ หรือ ๔๐ ปี หรือแก่กว่านั้น ถามท่านเช่นนี้เพราะเธอเป็นลูกของท่าน แม่ของเธอและเธอจะรู้สึกเป็นสุขใจ รับรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ในความรักอันนิรันดร์ และวันพรุ่งนี้เมื่อท่านต้องจากเธอไป เธอจะไม่รู้สึกสำนึกเสียใจเลย

          นี่คือเนื้อเพลงท่อนซ้ำที่ฉันมอบให้เธอได้ร้องขับขานในวันนี้ น้องชายและน้องสาวของฉันโปรดร้องขับขานมันเถิด เพื่อว่าเธอจะได้ไม่ใช้ชีวิตอยู่ในความเฉยเมยและหลงลืม ดอกกุหลาบสีแดงดอกนี้ ฉันได้ติดไว้ที่ปกเสื้อของเธอแล้ว ขอให้เธอมีความสุข ..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม